“ใบปัดน้ำฝน” (Wiper Blades) อุปกรณ์ชิ้นเล็ก แต่สำคัญ ซึ่งคุณไม่ควร “ละเลย”
การดูแลรถยนต์ สำหรับคนส่วนใหญ่มักจะให้ความใส่ใจกับประเด็น “สมรรถนะ” เป็นหลัก ในขณะที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ คือ ส่วนที่ถูก “มองข้าม” เช่น “ใบปัดน้ำฝน” หรือ Wiper Blades อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อสร้างทัศนวิสัยที่ดี และความปลอดภัยในทุกๆ ครั้ง เมื่อคุณกำลังขับขี่ยานพาหนะ เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อ เลือกใช้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะ “คุณภาพ” คือ สิ่งที่คุณ “สมควรจ่าย” เพื่อแลกกับความปลอดภัย
“ราคา” กำหนด “คุณภาพ”
ทุกวันนี้เรามักจะเห็น “ใบปัด” วางขายอยู่เกลื่อนตลาดแบบที่เรียกว่า “หาซื้อได้ง่าย” ไม่ว่าจะเป็นแบบยกกล่อง พร้อมติดตั้งที่มาทั้งก้าน และยางปัดน้ำฝน ไปจนถึงขายแยกยางปัดน้ำฝนเพียงอย่างเดียว โดยมีราคาตั้งแต่หลักสิบ ไปจนถึงหลักร้อย หลากหลายยี่ห้อ ซึ่งบอกเลยว่า “ราคา” ค่อนข้าง “ยั่ว” ใจไม่น้อย
ขณะเดียวกัน “ใบปัด” ที่มีคุณภาพ ด้วยการผลิตจากแบรนด์ต่างๆ นั้นเทียบกันแล้วหาซื้อได้ “ไม่ยาก” เท่าไหร่ แต่มี “ราคา” ที่เรียกว่า “สูง” กว่าแบบแรกหลายเท่า ชนิดที่ว่าถ้าให้เลือกซื้อโดยไม่บอก “สรรพคุณ” คนส่วนใหญ่คงหันไปเลือกใช้สินค้าที่มี “ราคาถูกกว่า” อย่างแน่นอน
“คุณภาพ” ให้อะไรบ้าง ในสิ่งที่เรียกว่า “ใบปัดน้ำฝน”
เริ่มจากรู้จัก “หน้าที่” ซึ่งหลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ และให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ดีขณะขับขี่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตก จากคุณภาพของ “ยางใบปัด” ในการทำหน้าที่กวาดอะไรก็ตามที่อยู่บนกระจกหน้าของรถ ด้วยแรงหมุนของมอเตอร์ ซึ่ง “ยางใบปัด” ตัวนี้เค้าก็จะมีความใกล้ชิดกับกระจกเป็นอย่างดี เพราะต้องแนบสนิทแบบไม่มีช่องว่าง เพื่อให้ “กวาด” ได้อย่างเกลี้ยงเกลา
ซึ่งเจ้า “ใบปัดน้ำฝน” เค้าก็จะมีอายุการใช้เช่นกัน เพราะท่ามกลางสภาพอากาศในบ้านเรา ไม่ว่าจะฤดูร้อน ร้อนมาก ร้อนที่สุด รวมไปถึงฤดูฝน และฤดูหนาว เจ้า “ยางใบปัด” ก็ต้องแนบชิดสนิทกระจกตลอดเวลา ฉะนั้นเค้าจึงมีอาการเสื่อมสภาพ ที่เราสังเกตได้ง่ายๆ ก็คือ ถ้าปัดไม่เกลี้ยง หรือลองจับๆ ว่ายางมีลักษณะแข็งล่ะก็ คงถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนทันที เพราะนอกจากประสิทธิภาพในการมอบทัศนวิสัยจะลดลงแล้ว คุณคงไม่อยากให้กระจกหน้ารถคุณเป็น “รอย” จากยางแข็งๆ ที่มันเสื่อมสภาพแน่นอน
“ใบปัดน้ำฝน” (Wiper Blades) ดูแลง่ายๆ ยืดอายุการใช้งาน
และแน่นอนครับ “ใบปัดน้ำฝน” มีอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้น “การดูแลรักษา” ที่ดี และสม่ำเสมอ จึงช่วย “ยืดอายุ” ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น ซึ่งนั่นคือ สิ่งที่ควรทำหากคุณ “ลงทุน” ซื้อแบบที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานมีความยาวนานขึ้น
ซึ่งการดูแลรักษาก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น เพราะมีวิธีเพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น โดยแบรนด์ Bosch ยอดนิยม เค้าแนะนำง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำสะอาด และผ้าทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน แต่ไม่ควรใช้น้ำยาล้างรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่นๆ เพราะว่าจะลดประสิทธิภาพของสารเคลือบยางใบปัดน้ำฝนลงไปด้วยนั่นเอง
ข้อต่อมา ก็คือ เราควรเปิดใช้งานใบปัดน้ำฝน และน้ำยาฉีดกระจกอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ให้ยางใบปัดน้ำฝนคงสภาพการใช้งาน เหมือนกับได้รับการใช้งานอยู่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้ใบปัดเกิดการแห้งแตก รวมถึงคอยดูแลจากการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ หลังจาก 6 เพื่อเช็คดูว่าประสิทธิภาพยังคงเรียบร้อยดีอยู่หรือไม่
นอกจากนี้ยังรวมถึงการต้องหมั่นเช็คกระจกบังลมหน้ารถด้วยเช่นกัน พร้อมด้วยการทำความสะอาด เพื่อขจัดฝุ่นละออง และคราบน้ำมัน รวมถึงต้องเช็คดูว่ามีรอยแตก หรือรอยบิ่นที่เกิดจากเศษหินหรือไม่ เพราะนั่นหมายถึงการทำให้ยางปัดน้ำฝนอาจเกิดการฉีกขาดได้
และสุดท้ายก็คือ ไม่ควรที่จะ “ยกใบปัดน้ำฝน” ออกจากกระจกหน้ารถ เพราะนั่นคือความเชื่อผิดๆ ที่คิดว่าเป็นการถนอมยางใบปัดน้ำฝน เพราะว่าการยกก้านปัดน้ำฝนขึ้น-ลง บ่อยๆ จะทำให้ตัวสปริง และก้านปัดน้ำฝน จนอาจทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย
“เลือก” อย่างไรให้ “คุ้ม” กับ “ใบปัดน้ำฝน”
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น “ใบปัด” คือ อุปกรณ์ความปลอดภับในรถอย่างหนึ่งที่หลายคนให้ความละเลย วึ่งไม่ควรทำ เพราะงั้นเราเลยอยากแนะนำให้ “ลงทุน” ซักนิด กับสินค้าที่มีคุณภาพ เช่นที่แบรนด์ดังๆ อย่าง Bosch ให้ความสำคัญด้วยการลงทุนหลักล้าน เพื่อวิจัยและพัฒนา สร้างจุดเด่นหลักๆ ก็คือ การยกระดับประสิทธิภาพ และความทนทาน ด้วยการออกแบบโครงสร้าง และสูตรผสมของเนื้อยาง
ซึ่งปกติแล้วรูปแบบของใบปัดจะมีอยู่ 3 ประเภท คือ ใบปัดน้ำฝนแบบใบปัดแบบไร้โครง, แบบธรรมดา และแบบผสม โดย 2 ประเภทหลังจะมีที่หนีบ หรือข้อต่อ ที่สร้างแรงกดทับบนบานกระจกระหว่างการใช้งานสูง แต่ก็ส่งผลให้เสื่อมสภาพเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับแบบอื่นๆ
ส่วนใบปัดน้ำฝนโดยทั่วไปจะผลิตมาจากยางซิลิโคน, ยางธรรมชาติ หรือยางสังเคราะห์ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงาน และความทนทานจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใบปัดน้ำฝนมีความโค้งพอดีรับกับความนูนของกระจกหน้ารถยนต์ที่ใช้งานอยู่หรือไม่
แต่แบรนด์ Bosch ได้พัฒนายกระดับวิวัฒนาการของใบปัดน้ำฝนใหม่ ด้วยงานดีไซน์แบบไร้โครงในรุ่น Aerotwin ที่จะประกอบด้วยชิ้นส่วนเดียว และใช้สปริง Evodium 2 ตัว ทำหน้าที่ยึดความยาวทั้งหมดของตัวใบปัดน้ำฝน เพื่อทำให้เกิดแรงกดที่กระจายเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังผ่านการทดสอบความทนทานต่อการใช้งานอย่างน้อย 500,000 รอบ หรือเทียบเท่ากับการใช้งานแบบไม่หยุดนิ่งราวๆ หนึ่งสัปดาห์
ในขณะเดียวกัน ตัวเนื้อยางสังเคราะห์ ก็เคลือบด้วยสาร Polymer Power Protection Plus ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Bosch ซึ่งทำให้เกิดความทนทานต่อสารในน้ำยาทำความสะอาด ไปจนถึงความทนทานต่ออุณหภูมิในประเทศไทย เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่เหมาะสม และยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย
เรียกได้ว่า “ลงทุน” ครั้งเดียว “คุ้ม” กว่าต้องเปลี่ยนกันบ่อยๆ หลายครั้ง ซึ่งใครที่อยากเปลี่ยนใจมาเน้น “คุณภาพ” มากกว่า “ราคา” ก็ลองหาซื้อมาใช้กันได้ เพราะ Bosch เค้าผลิตมาให้ครอบคลุมกับรุ่นรถยนต์ที่มีอยู่บนท้องถนนในเมืองไทยเกือบทั้งหมด ภายใต้ “คุณภาพ” และ “มาตรฐานการผลิต” ที่มั่นใจได้ในเรื่องของ “ประสิทธิภาพ” ในการใช้งาน รวมไปถึงเรื่องของการติดตั้ง ที่สามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยตัวเอง