จากจุดเริ่ม สู่การสั่งลา ด้วย Lamborghini แบบ One – Off
ทุกคน เรามีข่าวจะมาบอกแฟนๆ Super Car ค่าย Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ล่ะ เพราะดูเหมือนในเร็วๆ นี้ เค้าตัดสินใจจะตามกระแสโลกสร้างขุมพลัง Hybrid และเลิกผลิตเครื่องยนต์เบนซิน V12 (วี สิบสอง) ไร้ระบบอัดอากาศกันแล้ว
ฉะนั้นเราเลยอยากเล่าให้ฟัง ว่าเจ้าเครื่องยนต์ V12 (วี สิบสอง) ไร้ระบบอัดอากาศ เอกลักษณ์ของ แบรนด์ Lamborghini มันมีที่มาอย่างไร เอาแบบรวบรัดตัดความ ฉบับเข้าใจง่ายแล้วกันนะ
ซึ่งความจริงนะ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) เนี่ย เค้ามีเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 จนถึงปัจจุบัน โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์ที่ปรับแต่ง โดย จิอ็อตโต้ บิซซารินี (Giotto Bizzarrini) เพื่อจะเอาไว้ใช้สำหรับรถแข่ง
แต่ว่าเจ้าของแบรนด์อย่าง เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี (Ferruccio Lamborghini) เค้ากลับเลือกที่จะเอามาใช้กับรถ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่นแรกที่เปิดตัวในโลกของเราอย่าง 350 GT (สามห้าศูนย์ จีที) นั่นเอง
ส่วนเครื่องยนต์รุ่นที่ 2 เนี่ย ก็เอามาจากแนวคิดเทคนิคดั้งเดิม เพิ่มเติมก็คือการออกแบบใหม่ทั้งหมด และนำมาใช้ครั้งแรกใน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Aventador (อะแวนทาดอร์) ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2011
แล้วการพัฒนาก็ไม่ใช่จะง่ายๆ นะ กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เอาแค่เครื่องยนต์ก็ทดลองวางกันหลายตำแหน่ง ตั้งแต่วางตามยาวด้านหน้า, วางขวางด้านหลัง จนสุดท้ายก็มาจบที่วางตามแนวยาวด้านหลัง ใน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Countach (คุนทัช) เปิดตัวในปี ค.ศ. 1974 เพื่อให้มีการกระจายน้ำหนักที่สมดุลย์ขึ้น
ซึ่งต้องขอบคุณการคิดค้นเพลาลูกเบี้ยวคู่ Double Over Head Camshaft (ดับเบิ้ล โอเวอร์เฮด แคมชาร์ฟ) นำมาใช้เป็นครั้งแรกใน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Miura (มิอุระ) ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1966 เค้าแหละ ที่ทำให้เพิ่มมุมองศารูปตัว “V” ของเครื่องยนต์ได้มากขึ้น จนทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง
รวมไปถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ถือกำเนิดครั้งแรกมาจาก Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Diablo VT (ดิอาโบล วีที) ซึ่งเผยโฉมขึ้นในปี ค.ศ. 1993 อีกด้วย
ส่วนความจุเครื่องยนต์ก็ไล่อัพเกรดกันมา ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นขนาด 3.5 ลิตร จนกระทั่งมาสุดอยู่ที่ขนาด 6.5 ลิต แล้วก็มีการใช้วัสดุ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อช่วยลดน้ำหนัก เช่น ใน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Murciélago (มูร์เซียลาโก) ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2001
จุดเปลี่ยนสำคัญ ก็คือการที่ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ก้าวเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ Audi (อาวดี้) ซึ่ง Audi (อาวดี้) ก็เข้าใจดีว่า Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ยังคงต้องการรักษาตัวตนเอาไว้ จนเกิดเป็นการเคารพในความต้องการของกัน และกันขึ้นมา สร้างความสมดุลให้ทั้งสองฝ่ายได้พัฒนา ส่งเสริมจุดเด่นที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างก็เช่น Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Murciélago (มูร์เซียลาโก) เผยโฉมในปี ค.ศ. 2001 กับเครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร ที่มีกำลังถึง 580 แรงม้า ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการอัพเกรดเครื่องยนต์เป็น 6.5 ลิตร ในปี 2007 สร้างกำลังแรงขึ้นไปอีกเป็น 670 แรงม้า แถมยังมีน้ำหนักตัวที่เบาลงอีกถึง 100 กก.
อย่างที่บอกว่าการอยู่ภายใต้อาณาจักรของ Audi (อาวดี้) ทำให้ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ค้นพบตัวเอง และตัดสินใจออกแบบเครื่อง V12 ใหม่ทั้งหมด และให้กำเนิด Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Aventador (อเวนทาดอร์) เครื่องยนต์ V12 (วี สิบสอง) ขนาด 6.5 ลิตร มีกำลังถึง 700 แรงม้า ในปี ค.ศ. 2011 ที่เปรียบเสมือนเป็นบทพิสูจน์ในการบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเครื่องยนต์, น้ำหนัก และประสิทธิภาพต่างๆ จนได้ผลลัพธ์อันชัดเจน เป็นยอดจำหน่ายมากเป็น 2 เท่าจากที่คาดการณ์ไว้
ก่อนที่จะปรับแต่งใหม่ เพิ่มเรี่ยวแรงให้กับรุ่นต่อๆ มาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 2021 กับ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Aventador (อเวนทาดอร์) Ultimae (อูลติเม) รุ่นสุดท้ายที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยพละกำลังสูงระดับ 780 แรงม้า ในเวอร์ชั่นรถถนน แต่ถ้าหากเป็นเวอร์ชั่นรถสนามอย่าง Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่น Essenza (เอสเซนซ่า) ที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน และไม่ได้ถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดของรถถนน เรี่ยวแรงที่มีก็โดดขึ้นไปถึง 830 แรงม้าเลยทีเดียว
และทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น จากประวัติศาสตร์เครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ แห่งแบรนด์ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ที่เรียกได้ว่าน่าอิจฉาคนมีรถอยู่ในครองครองซะจริงๆ เพราะจากนี้ไป Lamborghini (ลัมโบร์กินี) จะก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์ Hybrid (ไฮบริด) อย่างเต็มตัว ซึ่งอาจจะเปิดตัวรุ่นใหม่มาให้ชมในเร็วๆ นี้ก็ได้นะ
แต่เอาจริงๆ นะ แบรนด์ระดับโลกขนาดนี้ จะให้ทิ้งทวนไปเฉยๆ ได้ไง อายเพื่อนร่วมวงการแย่ เพราะงั้นเค้าเลยจัดเวอร์ชั่นส่งท้าย แบบ One – Off (วัน – ออฟ หรือ หนึ่งเดียวในโลก) มาให้ 2 รุ่น รุ่นละ 1 คันเท่านั้น
หนึ่งเลยก็ คือ Lamborghini Invencible Coupé (ลัมโบร์กินี อินเว้นท์ซิเบิ้ล คูเป้) และสอง คือ Lamborghin Autentica Roadster (ลัมโบร์กินี ออเทนติก้า โรดสเตอร์) แบบเปิดหลังคาท้าสายลม
ส่วนความโดดเด่นแบบเตะเข้าเบ้าตา ก็ต้องอภิมหางานดีไซน์แบบรวมมิตร ที่หยิบมาจาก Lamborghini (ลัมโบร์กินี) รุ่นสร้างชื่อมากมาย เช่น เส้นสายตามหลักอากาศพลศาสตร์ชั้นสูง จาก Reventon (รีเวนตั้น), โครงสร้างตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ จาก Reventon (อะแวนทาดอร์), ฝากระโปรงหน้า กับลิ้นใต้กันชนหน้าจาก Essenza SCV12 (เอสเซนซ่าร์ เอสซีวีสิบสอง) แล้วก็สุดท้าย คือ หางหลังอันใหญ่ และท่อไอเสีย 3 ท่อกลางกันชนหลัง จาก Sesto Elemento (เซสโต้ เอเลเมนโต้)
ส่วนภายในก็เรียบๆ ง่ายๆ นะทุกคน เน้นความ Minimalist (มินิมอล) แต่ซ่อนความเท่ห์เอาที่การเลือกใช้วัสดุ กับรายละเอียดการตกแต่งแบบหกเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) เค้าอ่ะนะ
แล้วเครื่องยนต์อ่ะก็ V12 (วีสิบสอง) ไร้ระบบอัดอากาศ มีกำลังอยู่ 780 แรงม้า ไง ใครๆ ก็รู้ป่ะ … !!!