LEXUS LS 460L 4 Seater

lexus-LS460L-iamcar

ความสุขของคนที่หลงใหลในรถยนต์แบบผมหรือคุณ มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสรถยนต์ในตระกูลที่ตัวเองชอบ แล้วนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมจะได้สัมผัสกับรถระดับหรูราคาเกินสิบล้านอีก ครั้ง ในตระกูลของ LEXUS LS460 L ที่มีความหรูหราเกินบรรยาย เครื่องยนต์ระดับ 380 แรงม้าผสมผสานกับระบบส่งกำลัง 8 สปีด จะรอช้าอยู่ใยไปดื่มด่ำความหรูหราพร้อมกับผมดีกว่าครับ

แค่มองห่าง…ห่างก็เป็นที่หมายปอง

  
   รถหรูหราราคาระดับนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะขออนุญาตนำมาทดสอบ แต่ก็โชคดีเป็นที่สุดที่มี “สาวสวย หน้าเกาหลี แววตาคมกริบ” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโตโยต้ามาประสานงานให้ iAMCAR VARIETY E-MAGAZINE มีโอกาสได้ทดสอบในครั้งนี้ จริงๆ แล้วทุกครั้งที่ผมเดินทางไปที่ตึก All Season ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของ LEXUS ผมจะแอบบมอง LEXUS LS460 L ทุกครั้ง เพราะในสายตาผมมันเป็นรถที่ดูดีมีชาติตระกูล คือแม้จะปิดโลโก้เอาไว้ แล้วให้ลองท้ายราคามันก็น่าที่เกินสิบล้าน

    เมื่อผมเดินทางไปรับรถที่ตึก All Season พอรับกุญแจมาก็เดินมุ่งมั่น เพราะทราบอยู่แล้วว่าใกล้รถเมื่อไหร่ กลอนประตูจะปลดล็อก ทั้ง 4 บานเอง พร้อมไฟส่องสว่าง ใต้กระจกมองข้าง จะติดขึ้น
เราสามารถเปิดประตูก้าวขึ้น รถไปได้เลย แต่พอก้าวขึ้นไปแล้วนั่งลงตรงเบาะคนขับ อย่างแรกที่คิดขึ้นมาในสมองคืน อิจฉาพี่ๆ คนขับรถจริงๆ มีโอกาสได้ขับรถหรูระดับนี้ทุกวัน หลังจากชื่นชมภายในซักพักก็ลองลงมาสำรวจความงดงามรอบตัวรถบ้าง

แม้จะดูเรียบหรู แต่ใส่ใจทุกรายละเอียด
    ผมเดินรอบรถไปสองรอบความรู้สึกที่ได้ ไม่ได้ต่างอะไรกับที่เห็นในครั้งแรก คือความหรูหรา สง่างาม ซึ่งเหมาะแล้วที่จะเป็นรถของผู้บริหารระดับสูง ที่มีความล้ำลึกในความคิด สุขุม เก็บทุกรายละเอียด คือรถคันนี้ถ้าคุณมองผิวเผินก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถหรูทั่วไป แต่จริงๆ ซ่อนรายละเอียดไว้เพียบ เรามาค่อยๆ ดูไปทีละส่วนจากด้านหน้าก่อน มาดูที่ตัวกันชนหน้าการออกแบบให้ดูเรียบหรู ฝั่งไฟตัดหมอกหน้าไว้เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น ส่วนด้านล่างของกันชนถ้าสังเกตุดี..ดี จะเห็นว่าจะทำองศาที่ดีตามหลัก Aerodynamics รีดอากาศให้ผ่านใต้ท้องรถน้อยมาก

ขยับขึ้นมาดูไฟ หน้าระบบไฟหน้า Bi-HID (High Intensity Discharge) แบบ Projector-Type พร้อมระบบปรับระดับอัตโนมัติ ขออธิบายคำว่าปรับอัตโนมัติหน่อยแล้วกันว่ามันอัตโนมัติยังไง คือแบ่งเป็นสองระดับความเร็ว ย่านความเร็วแรกคือ 10-30 ก.ม./ช.ม. จานฉายไฟหน้าจะแยกการทำงานกันระหว่างซ้าย-ขวา เราหมุนพวงมาลัยไปทางขวา จานฉายเฉพาะไฟหน้าฝั่งขวาจะปรับมุมเบนไปทางขวา ประมาณ 20 องศา แปลผันตามวงเลี้ยวที่แคบหรือกว้าง เราหมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย จานฉายเฉพาะไฟหน้าฝั่งซ้ายจะปรับมุมเบนไปทางขวา 10 องศา ย่านความเร็วเกิน 30 ก.ม./ช.ม. จานฉายไฟหน้าจะทำงานร่วมกันเบนตามกันไปทั้งคู่ แต่เบนไม่เท่ากัน เราหมุนพวงมาลัยไปทางขวา จานฉายของไฟหน้าฝั่งขวาจะปรับมุมเบนไปทางขวา  15 องศา ส่วนจานฉายไฟหน้าฝั่งซ้าย จะปรับมุมเบนไปทางขวาตามด้วย  7.5 องศา หมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย จานฉายเฉพาะไฟหน้าฝั่งซ้ายจะปรับมุมเบนไปทางขวา 10 องศา ส่วนจานฉายไฟหน้าฝั่งซ้าย จะปรับมุมเบนไปทางซ้ายตามด้วย 5 องศา อันนี้เป็นตำแหน่งที่วิศวกรคำนวนมาแล้วว่าจะเป็นให้เราเห็นได้ชัดเจนในยาม ค่ำคืนมากที่สุด ที่ผมกล่าวมาคือระบบปรับองศาของไฟส่องสว่างตามทิศทางการเลี้ยว พร้อมทั้งยังมีระบบหัวฉีดล้างไฟหน้า แบบ Pop-up Type แค่ไฟหน้าก็เหนื่อยแล้ว

มาดูที่กระจกบานหน้าไม่ธรรมดามีท๊อปเฉด ตัดรังสีอินฟราเรด และ UV ด้วย ขยับมาด้านข้างใช้โครเมียมที่ขอบกระจก มือจับเปิดประตู และคิ้วชายล่างประตู เพิ่มความโดดเด่นของรถขึ้นมาเยอะ กระจกมองข้างตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยวในตัว พับเก็บไฟฟ้า ไฟส่องพื้น เคลือบผิวกันหยดน้ำเกาะ ระบบบันทึกตำแหน่ง ฮีตเตอร์ไล่ฝ้า ปรับมุมลงเพื่อส่องพื้นอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง แม้แต่กระจกประตู ยังตัดรังสี UV ตัดรังสีอินฟราเรด กันเสียง เคลือบผิวป้องกันหยดน้ำเกาะ ส่วนหลังคาแบบมูนรูฟ พร้อมระบบ One Touch และ ระบบกันหนีบ ด้านท้ายเน้นที่ความลงตัวแบบเรียบๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟเบรกดวงที่สามที่ซ่อนอยู่ที่ปลายขอบหลังคา และท่อไอเสียที่เรียบไปกับกันชนท้าย ปิดท้ายด้วยไฟท้ายแบบ LED
 Click Engine Start

    นั้นเป็นแค่รายละเอียดภายนอก เล่นเอาเหนื่อยเลย มากด Engine Start ออกเดินทางดีกว่า เริ่มจากการไปหาก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยกินก่อน ตรงริมถนนพระราม 4 ซึ่งหาที่จอดรถยากสุด…สุด แคบก็แคบ แล้วคันใหญ่ขนาดนี้จะไหวไมลองไปกันดู ขับมาไม่ไกลก็ถึงร้าน แน่นอนจอดรถยาก แต่ด้วยอุปกรณ์ไม่ว่าจะกล้องมองหลัง กระจกข้างปรับลงพื้นเวลาถอย เซ็นเซอร์เตือนหน้า-หลัง และระบบช่วยจอด IPA ช่วยในการหักพวงมาลัยในขณะที่เข้าจอดแบบขนานข้างถนนและในขณะถอยจอดเข้าช่อง โดยจะช่วยให้เราสามารถจอดรถได้โดยไม่ต้องบังคับพวงมาลัย เรามีหน้าที่เพียงช่วยดูบริเวณรอบข้างในขณะเข้าจอดเพื่อความปลอดภัยและคอย เหยียบเบรกเพื่อให้การจอดรถเป็นไปด้วยความเร็วที่เหมาะสมเท่านั้น ทำให้การจอดไม่ยากอย่างที่คิด พออิ่มแล้วลองขับวนเล่นแถวสยาม วนใช้ในเมืองสักพัก ผมว่าดูเหมือนคันใหญ่และยาวมาก แต่พอขับแบบไม่แกร่งในราคา ก็คล่องตัวดีครับ ไม่ได้ต่างจากการขับซีดานไซด์ใหญ่ทั่วไป

คราวนี้เราลองมาหาที่สัมผัสความแรงของเครื่องยนต์รหัส 

1UR-FSE ขนาดความจุกระบอกสูบ 4.6 ลิตร V8 DOHC 32-Valve Dual VVT-iE (ระบบควบคุมจังหวะเปิด-ปิดของวาล์วแบบผันแปรที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า (VVI-iE) ด้วยการให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนการทำงานของวาล์ว) ซึ่งระบบนี้เป็นนวัตกรรมครั้งแรกของโลก ให้แรงม้าสูงสุด 380 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 493 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 รอบต่อนาที พร้อมระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 สปีด แต่ด้วยน้ำหนักตัวรถ 2,445 กก. อาจจะไม่แรงแบบหวือหวา แต่ก็สามารถทำเวลาจาก 0-100 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 6 วินาที แถมความเร็วยังไหลลื่นขึ้นไปจนเกือบ 260 กม./ชม. แค่นี้คงจะเพียงพอกับการใช้งานนะครับ

    ระหว่างที่ทดสอบผมลองมาใช้ระบบควบคุมความเร็วด้วยเรดาร์ (Radar Cruise Control) ซึ่งทำงานประสานกับระบบควบคุมความเร็ว (Cruise Control) ทำงานโดยอาศัยข้อมูลจากระบบเซนเซอร์เรดาร์ตรวจจับสิ่งกีดขวาง (Millimeter-wave Radar) ในการตรวจจับ กำหนด และติดตามรถยนต์ที่อยู่ด้านหน้า เพื่อรักษาระยะให้ห่างจากรถยนต์ด้านหน้าอย่างเหมาะสม จึงช่วยให้การเดินทางในระยะไกลนั้นยิ่งสะดวกสบายกว่าที่เคย แถมด้วยระบบความปลอดภัยก่อนการชน ซึ่งทำงานด้วยเรดาร์ตรวจจับสิ่งกีดขวาง (Millmeter-Wave Radar) กำหนดและตรวจพบว่ามีโอกาสที่จะเกิดการชนกับรถยนต์ด้านหน้า รถยนต์ที่สวนมา หรือสิ่งกีดขวางบนท้องถนน ระบบก็จะเตือนเราด้วยสัญญาณเตือน ถ้าเราตอบสนองการเตือนด้วยการเหยียบเบรก ระบบช่วยเบรกก็จะทำงานเพื่อช่วยเสริมแรงเบรก หรือแม้ว่าเราไม่ได้เหยียบเบรก ระบบช่วยเบรกก็จะทำงานโดยส่งแรงดันเบรกเพื่อลดความเร็วของรถยนต์ก่อนการชน โดยอัตโนมัติ ในขณะที่เข็มขัดนิรภัยเองก็จะดึงกลับโดยอัตโนมัติก่อนที่จะเกิดการชนขึ้น เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น


เงียบกริบตลอดการเดินทาง

    ระหว่างทางที่ขับมาสิ่งแรกที่สังเกตุได้คือแทบจะไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดเข้า มาในรถเลย ระบบการเก็บเสียงผมถือว่าสุดยอด ควรนี้ลองขับช้า..ช้าไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สังเกตุภายในกันดีกว่านอกจากการออกแบบภายในอันหรูหราสุดขีดแล้ว พวงมาลัยยังใช้หนังแท้สลับลายไม้ พร้อมฮีตเตอร์ ระบบปรับอากาศแบบแยกซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศและกำจัดละอองเกสรดอกไม้ ระบบปรับอากาศด้านหลัง พร้อมตู้เย็น แถมด้วยระบบฟอกอากาศอัตโนมัติ ส่วนระบบเครื่องเสียง Mark Levinson Reference Surround Sound System, วิทยุ AM/FM เครื่องเล่นแผ่น DVD บรรจุ 6 แผ่น ถอดสัญญาณ Dolby Digital และ DTS ลำโพง 19 ตัว รองรับการเล่นไฟล์ MP3 และ WMA ระบบประมวลผลสัญญาณดิจิตอล ระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็ว ด้านหน้ามีหน้าจอ EMV (Electro Multi-Vision) ขนาด 8 นิ้ว ส่วนระบบบันเทิงด้านหลังพร้อมเครื่องเล่นแผ่น DVD หน้าจอ LCD 9 นิ้ว ติดตั้งที่เพดาน ช่องต่อสัญญาณภาพจากแหล่งภายนอก รีโมทควบคุมไร้สาย ส่วนความชับของเบาะรถระดับไม่มีเมื้อยแน่นอน
นิ่มนวลทุกสภาพพื้นผิว

    ระหว่างทางที่ผมขับมาผ่านสภาพพื้นผิวหลายรูปแบบทั้งทางขุระ รอยต่อถนน และอีกมากมาย แต่ก็ไม่ได้ระคายเคือง LS460 L เลย คือแถบไม่รู้สึกครับ การทรงตัวทางตรงความเร็วสูงเยี่ยมครับ ในทางโค้งกว้างๆ บนทางด่วนมาด้วยความเร็ว 200 กม./ชม. ก็นิ่งมาก แต่ผมไม่ได้ลองไปขับทดสอบในโค้งแคบ เพราะคิดว่ารถระดับนี้คงไม่มีใครบ้าไปสาดเล่นกัน ส่วนเรื่องอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงทาง LEXUS บอกไว้ว่าในเมือง 6.8 กม./ลิตร นอกเมือง 10.20 กม./ชม. ต้องขอโทษที่ไม่ได้ทดสอบด้วยตัวเอง ด้วยส่วนตัวแล้วคิดว่ามหาเศรษฐีที่ซื้อเจ้านี้ไปคงมีเงินเหลือไว้เติมน้ำมัน แน่ๆ ในการทดสอบครั้งนี้ถ้าผมใส่รายละเอียดได้ไม่ครบถ้วนมากนักต้องขออภัยด้วย เพราะถ้าจะเอาแบบครบทุกจุดของรายละเอียดคงเขียนเป็นนิยายเลยทีเดียว
   

ด้วยราคาค่าตัว 10,910,000 บาท ส่วนตัวผมคิดว่า LEXUS LS460 L 4 Seater สร้างสรรค์ออกมาได้ดี ไม่แพ้รถหรูระดับ Hi-Class จากค่ายแถบยุโยปเลยทีเดียว แต่ผมก็อยากให้ทุกท่านที่สนใจรถรุ่นนี้ลองไปสัมผัสความหรูหราด้วยตัวเองทุก โชว์รูมของ LEXUS

Gallery

{phocagallery view=category|categoryid=371|limitstart=0|limitcount=0}

 


ตารางราคารถยนต์ล่าสุด

AUDI | Aston Martin | BMW | Chevrolet | CITROEN |  DFSKFerrari | Honda (ฮอนด้า) |