McLaren 720S Spider เจ้าแมงมุมเขมือบ สปอร์ตเปิดประทุนตัวล่าสุด

บริษัทผู้ผลิตรถหรู และรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ระดับสูงจากฝั่งอังกฤษ กำลังขยายตัว พร้อมการลงทุนใหม่ๆ ด้วยทุนกว่า 1.2 พันล้านปอนด์ และล่าสุดกับสินค้าใหม่สดๆ ร้อนๆ จากทางค่าย กับซูเปอร์คาร์ สปอร์ตเปิดประทุน McLaren 720S Spider ที่ส่งผลแห่งความคึกคักทันทีที่เปิดตลาดแบบออนไลน์เมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมา กับยอดสั่งซื้อในทันใด

เจ้าแมงมุมเขมือบ McLaren 720s Spider นับเป็นโมเดลใหม่ โมเดลที่ 2 ของเจ้า Spider ซึ่งมีจุดเด่นเมื่อเทียบชั้นความเป็นตัวที่สามารถลงสนามแข่งได้ โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียง 49 กก.เมื่อเทียบกับเจ้า McLaren 720S Coupe

เฉกเช่นเดียวกับแม็กลาเรนทุกคัน เจ้า 720S Spider ก็ไม่เว้น โดยมีคาร์บอนไฟเบอร์เป็นพื้นฐานของโครงสร้างตัวถัง ซึ่งใช้เทคโนโลยี Mono Cage II แม้อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ถูกรีดออกมาเมื่อชั่งน้ำหนักเช้าอยู่ที่ 1,332 กก.

รายละเอียดโดยทั่วไปยังคงใกล้เคียงกับรุ่น Coupe ปกติ จะแตกต่างที่ล้อแม็กอัลลอยมีขนาด 20 นิ้วลายใหม่ แต่ส่วนสำคัญคือ หลังคาเปิดประทุนแบบ Hard Top ซึ่งผลิตจากไฟเบอร์กลาส แข็งแต่เบา ใช้เวลาในการเปิด-ปิดเพียง 11 วินาที เร็วกว่ารุ่นเดิม 650S Spider ถึง 6 วินาที โดยไม่ต้องหยุดนิ่งแล้วเปิด หรือพับหลังคา แต่ถ้าความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.แล้วล่ะก็ สามารถเปิด-ปิดได้เลย

ในส่วนอื่นๆ ยังพัฒนาให้มีการเก็บเสียงที่ดีขึ้น เพื่อความสุนทรีย์ในการขับขี่ แต่ที่เหนืออื่นใด ลูกเล่นของหลังคาแบบ Electrochomic สามารถที่จะให้มันทึบแสง หรือโปร่งแสงก็ได้ แต่ต้องเสียตังค์เพิ่มหากต้องการติดตั้งฟังก์ชั่น และอุปกรณ์ชนิดเพิ่มเติม

ขุมกำลังจัดหนักเต็มพิกัดด้วยเครื่องยนต์แบบ V8 สูบ เบนซิน รหัส M840T ขนาด 4.0 ลิตร 32 วาล์ว พ่วงด้วยเทอร์โบแบบ Twin Scroll ให้กำลังสูงสุด 720 แรงม้าที่ 7,250 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 770 นิวตัน-เมตรที่ 5,500 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แบบ dual clutch โดยขับเคลื่อนแบบล้อหลัง

เมื่อสเป็กมาขนาดนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คงถูกใจคอซูเปอร์คาร์ทั้งหลาย เพราะอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม ผ่านไปเพียงอึดใจเดียวที่ 2.9 วินาที แต่ถ้าหากต้องการให้เข็มไมล์ฟาดไปถึง 200 กม./ชม.ก็รอประมาณ 7.9 วินาทีเท่านั้น โดยระยะควอเตอร์ไมล์ทำได้ในเวลา 10.4 วินาที

สำหรับผู้ที่สนใจเค้าก็มีรุ่นย่อยตกแต่งให้เลือก 3 แบบทั้ง Standard, Performance และ Luxury โดยมีสีตัวถังให้เลือกอย่างจุใจถึง 23 สี โดยจะเริ่มวางตลาดในช่วงเดือนมีนาคม 2019 พร้อมกับสนนราคาตั้งไว้ที่ประมาณ 315,000 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 10 ล้านหน่อยๆ แต่ถ้าใครจะเอาเข้ามาขับในบ้านเราก็อย่าลืมบวกภาษีเพิ่มนะจ๊ะ


ตารางราคารถยนต์ล่าสุด

AUDI | Aston Martin | BMW | Chevrolet | CITROEN |  DFSKFerrari | Honda (ฮอนด้า) |