มินิ ประเทศไทย (MINI Thailand) “ลั่น” งาน “มหกรรม MINI Expo 2018” ครั้งแรก … ไฮไลต์เพียบ มีอะไรบ้างมาดูกัน
เตรียมตัวให้พร้อม 16-19 สิงหาคม 2561 นี้ … เมื่อ มินิ ประเทศไทย (MINI Thailand) จัดงานใหญ่ MINI Expo 2018 เป็นครั้งแรก ตรึงพื้นที่ห้างใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นเวทีอวดโฉมยนตรกรรมเด่นแบบครบๆ ทั้งตระกูล พร้อมไฮไลต์ที่บอกได้เลยว่าสาวก MINI ไม่ควรพลาด เพราะงั้นมาดูกันดีกว่าว่าเบื้องต้นจะมีรุ่นไหนบ้างที่น่าสนใจ
MINI Countryman ไฮไลต์ MINI Expo 2018 ฐานะ “โมเดลใหม่” ล่าสุด
สำหรับอนุกรม Countryman ถือได้ว่าเป็น “ทีเด็ด” ของงานนี้ก็ว่าได้ เพราะเป็นโมเดลใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมความ “พิเศษ” หลายอย่าง เริ่มจาก “ราคาใหม่” โดยตัว Cooper S อยู่ที่ “2,299,000 บาท” หรือ ลดลงราว 360,000 บาท ในขณะที่ตัว Cooper S High Trim ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดนั้นมากับราคา “2,499,000 บาท” หรือลดลงไปถึง 460,000 บาท โดยทั้ง 2 ราคา คือ ตัวเลขที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard แล้วเป็นที่เรียบร้อย
รายละเอียดของ “MINI Cooper S Countryman” ใหม่ นั้นประกอบด้วยดีไซน์ที่แข็งแกร่ง และโฉบเฉี่ยว จากการผสมผสานเอกลักษณ์ ให้ลงตัวกับความคลาสสิคในทุกองค์ประกอบ เช่น ไฟหน้าที่มาพร้อมกับ LED Daytime Driving Light และไฟตัดหมอก LED Fog Light ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง พร้อมด้วยการติดตั้งระบบ Parking Assistant มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อให้การจอดรถง่ายดาย และสะดวกสบายมากขึ้น
ส่วนภายในห้องโดยสารยังคงความกว้างขวางในรูปแบบ 5 ที่นั่งตามมาตรฐาน Countryman ตกแต่งในโทนสีดำ Piano Black พร้อมเบาะหนังแท้สีดำ Leather Cross Punch Carbon Black สไตล์สปอร์ต ติดตั้งหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง ทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลข้อมูลต่างๆ รวมถึงระบบความบันเทิง และฟังค์ชั่น MINI Connected ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งสามารถแสดงข้อมูลต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้
ในขณะที่ด้านหลังมากับความอเนกประสงค์ที่ครบครัน เช่น เบาะนั่งหลังที่สามารถพับได้แบบ 40:20:40 รวมถึงฟังค์ชั่น Automatic Tailgate ที่ช่วยให้สามารถเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายได้ง่ายๆ เพียงยื่นเท้าเข้าไปบริเวณใต้กันชนหลังเมื่อมีกุญแจรถอยู่กับตัวเท่านั้น
สำหรับเวอร์ชั่นท็อปอย่าง “MINI Cooper S Countryman High Trim” ที่มากับราคา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นพื้นฐานไปอีกเล็กน้อย จะมากับรายละเอียดการตกแต่งที่พิถีพิถัน และหรูหรามากขึ้น ด้วย Chrome Line เส้นสายสีเงินโครเมี่ยมที่ตกแต่งให้กับทั้งภายนอก และภายใน เสริมด้วยออพชั่นระบบ Parking Assistant ที่มาพร้อมกล้องมองหลัง และติดตั้งกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ด้านภายในได้อารมณ์สปอร์ตขึ้นจากการตกแต่งในสไตล์ MINI Yours Piano Black Illuminated ซึ่งใช้วัสดุสีดำมันวาว มาพร้อมไฟตกแต่งห้องโดยสาร, เครื่องเสียงชั้นเลิศจาก Harman Kardon, ระบบแสดงผล MINI Head-Up Display ที่ได้รับแรงบรรดาลใจจากเทคโนโลยีในห้องโดยสารเครื่องบินเจ็ท รวมถึงหน้าจอระบบสัมผัสดีไซน์ใหม่ขนาด 8.8 นิ้ว ที่มากับระบบ MINI Connected เช่นกัน
สมรรถนะของทั้ง 2 รุ่น บ่งบอกด้วยชื่อ Cooper S จากพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ พร้อมระบบอัดอากาศ MINI TwinPower Turbo ที่มีกำลังสูงสุด 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที
โดยในรุ่น Cooper S จะมากับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด, พวงมาลัยหนังแท้แบบมัลติฟังก์ชั่นระบบ Servotronic และล้ออัลลอยด์ดีไซน์ Pair Spoke ขนาด 18 นิ้ว ส่วนรุ่นท็อป Cooper S High Trim อัพเกรดไปใช้เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดสไตล์สปอร์ตพร้อม Paddle Shift, พวงมาลัยหนังแท้สไตล์ MINI Yours แบบสปอร์ต พร้อมมัลติฟังก์ชั่น และล้ออัลลอยด์ลาย Edged Spoke ขนาด 19 นิ้ว
MINI Cooper S Clubman Yours Edition
ราคา “2,999,000 บาท” รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard คือ ค่าตัวของ MINI Cooper S Clubman Yours Edition ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นรอบคัน เช่น การตกแต่งด้วยดีไซน์ธง Union Jack สีดำ บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้าง, กระจกมองข้าง และปุ่มล็อคประตูภายในรถ รวมถึงระบบ MINI Logo Projection ที่สร้างเอกลักษณ์สะดุดตาด้วยการฉายโลโก้มินิลงบนพื้นนอกตัวรถบริเวณฝั่งคนขับเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถ ตลอดจนล้ออัลลอยด์ลาย MINI Yours Masterpiece สีดำขนาด 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารตกแต่งสไตล์ MINI Yours ด้วยพวงมาลัยหนังแท้ทรงสปอร์ตสีดำตัดกับสีเงิน พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น, เบาะหนังแท้สีดำตัดเย็บพิเศษตกแต่งด้วยหมุดลาย Union Jack พร้อมเบาะรองศีรษะในลายธง Union Jack ตลอดจนการตกแต่งพิเศษ MINI Yours Interior Style Piano Black ด้วยโทนสีดำมันในส่วนของพื้นผิวห้องโดยสาร
พร้อมด้วยการติดตั้งระบบแสงไฟสร้างบรรยากาศที่บริเวณมือจับประตู ที่สามารถเปลี่ยนสีไปตาม Ambient Light ที่เลือกได้ถึง 12 สีตามความต้องการ โดยด้านสิ่งอำนวยความสะดวก จะมากับหน้าจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว บนคอนโซลกลาง พร้อมระบบนำทางเชื่อมต่อกับกล้องมองหลัง และการรองรับเทคโนโลยี MINI Connected
สำหรับสมรรถนะยังคงมากับเครื่องยนต์เบนซินพิกัด 2.0 ลิตร 4 สูบ MINI TwinPower Turbo ที่มีกำลังสูงสุด 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดสไตล์สปอร์ ที่สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที
MINI JCW Convertible ใหม่ สุดหล่อแห่งงาน MINI Expo 2018
เพิ่งเปิดตัว พร้อมจัดกิจกรรม Track Day ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ. บุรีรัมย์ ไปไม่นาน ทางมินิ ประเทศไทย ก็นำเอามาให้ชมกันอย่างใกล้ชิดอีกครั้งในงานนี้ โดยแปะป้ายราคาเอาไว้ที่ “3,468,000 บาท” รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพ็คเกจ MSI Standard ซึ่งคนรักความสปอร์ต และสายลมแสงแดด ห้ามพลาด
เพราะการปรับโฉมใหม่เพื่อยกระดับคาแรคเตอร์ นั้นมากับความน่าสนใจเพียบ เช่น ชุดแต่ง Aerodynamics JCW เต็มรูปแบบ พร้อมล้ออัลลอยด์ลาย John Cooper Works Cup Spoke 2-tone ขนาด 18 นิ้ว ซึ่งรับกับรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายของไฟ LED ลายธง Union Jack ซึ่งมีไฟเบรกแบบเส้นแนวตั้ง, ไฟเลี้ยวแบบเส้นแนวนอนกึ่งกลางโคม และไฟท้ายแบบเส้นแนวทะแยง ในขณะที่ไฟหน้ามากับเทคโนโลยีล่าสุดแบบ Adaptive LED ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ Matrix Light ที่ช่วยยกระดับทัศนวิสัยในการขับขี่มากขึ้นอีกระดับ เช่นเดียวกับตัวช่วยที่อำนวยความสะดวกการจอดรถให้ง่ายขึ้นด้วยกล้องมองหลังผ่านจอแสดงผลด้านหน้า
และที่สำคัญก็คือ หลังคาผ้าแบบอัตโนมัติ ที่สามารถเปิด-ปิดได้อย่างไร้เสียงด้วยระบบไฟฟ้าเพียงแค่ 18 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 30 กม./ชม. ทั้งยังมาพร้อมฟังก์ชั่นเลื่อนเปิดหลังคาเฉพาะส่วนหน้าได้มากสุดถึง 40 ซม. โดยไม่จำกัดความเร็ว ทั้งยังได้รับการปรับปรุงให้สามารถลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้มากขึ้น
ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหนังแท้ พร้อมแป้นเบรก, แป้นคันเร่ง และที่พักเท้าทำจากวัสดุสแตนเลส ตัดกับมือจับประตู, วัสดุหุ้มเกียร์ และเพดานห้องโดยสารสีดำ Anthracite ในสไตล์ JCW ส่วนอุปกณ์ความบันเทิงนั้นจัดให้ด้วยเครื่องเสียงจาก Harman Kardon พร้อมจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว และเทคโนโลยีเชื่อมต่อ MINI Connected รวมถึงเทคโนโลยีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging) และเพิ่มช่องเชื่อมต่อ USB มาให้อีก 2 ช่อง
MINI JCW Convertible นำเสนอจุดเด่นหลักในเรื่องสมรรถนะสุดเร้าใจ ตั้งแต่เครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดในพิกัด 2.0 ลิตร 4 สูบ พ่วงระบบอัดอากาศ MINI TwinPower Turbo ที่มีกำลังให้ใช้ถึง 231 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดสไตล์สปอร์ต และทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.5 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 240 กม./ชม.
ตามมาด้วยโครงสร้างตัวถังที่เสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ตลอดจนการติดตั้งระบบท่อไอเสียแบบสปอร์ต John Coopers Work และระบบช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบใหม่สไตล์รถแข่ง สามารถปรับได้ตามรูปแบบการขับขี่ (Adaptive Suspension) และชุดเบรกแบบสปอร์ตมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน
แต่ถ้าใครอยากได้ความสปอร์ตแบบผมไม่เสียทรง “MINI John Coopers Work Hatch แบบ 3 ประตู รุ่นปรับโฉมใหม่” ราคา “3,418,000 บาท” รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard คือ อีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยขุมพลังบล็อคเดียวกัน แต่ทำอัตราเร่งได้เร็วกว่ากับตัวเลข 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.1 วินาที บนความแตกต่างด้านกายภาพในเรื่องของรายละเอียดการตกแต่งภายใน
MINI Hatch 3 Dr. & 5 Dr. รุ่นปรับโฉมใหม่
สำหรับผู้ที่ไม่ถวิลหาความแรงระดับ John Coopers Work ตัวเลือกที่ดีที่สุด คือ MINI Hatch ทั้งแบบ 3 ประตูราคาเบาๆ เริ่มต้นที่ 2,180,000 บาท และแบบ 5 ประตูราคาเริ่มต้น 2,220,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard
ส่วนรูปลักษณ์ก็ยังคงเด่นชัดในความเป็น MINI ยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษอย่างครบถ้วน ผสมผสานด้วยคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น เช่น ในรุ่น Cooper และ Cooper D ที่มากับไฟหน้าแบบฮาโลเจน และมีรายละเอียดมากขึ้น ด้วยแผง Panel สีดำ, ไฟหน้าแบบเต็มวงแหวนดีไซน์ใหม่
ซึ่งในรุ่นท็อปอย่าง Cooper S จะมากับไฟหน้าแบบ LED ทั้งไฟต่ำ และไฟสูง พร้อมด้วยไฟ LED Daytime Running Light และฟังก์ชันไฟเลี้ยวภายในวงแหวนเดียวกัน โดยไฟจะเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีส้มขณะที่ทำการเปิดไฟเลี้ยว ส่วนล้ออัลลอยด์มีทั้งหมด 3 แบบโดยจะต่างกันไปในแต่ละรุ่น คือ ลาย Victory Spoke Black ขนาด 16 นิ้ว, ลาย Roulette Spoke 2-tone และลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว
ด้านหลังมากับความโดดเด่นของชุดไฟท้ายใหม่ด้วยรูปทรง และเส้นไฟ LED ลายธง Union Jack เช่นกัน โดยในรุ่น Cooper S จะมากับสไตล์เดียวกับรุ่น JCW ซึ่งทำให้ภาพรวมจากด้านท้ายมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และตอกย้ำความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษอย่างชัดเจน
ภายในยังครบเครื่องเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น หน้าจอ Digital ระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว หรือ 8.8 นิ้ว สำหรับรุ่น Cooper S High-Trim พร้อมเทคโนโลยี Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ตลอดจนเทคโนโลยี MINI Connected ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
สำหรับ MINI Hatch ทั้ง 3 ประตู และ 5 ประตู นั้นมากับหลากหลายทางเลือกขุมพลังจากเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo โดยมีให้เลือกสรรทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ในรุ่น Cooper และ Cooper D รวมถึงเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ ซึ่งได้รับการอัพเกรดคันเกียร์ใหม่เป็นระบบไฟฟ้าในรุ่น Cooper และ Coope S
ส่วนรุ่นย่อย Cooper Hatch แบบ 3 ประตู จะมากับกำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.8 วินาที ส่วน Cooper S Hatch 5 ประตู จะมากับเรี่ยวแรง 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร และทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที
MINI Cooper S Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่
ปิดท้ายด้วย MINI Cooper S Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ ค่าตัวเพียง “3,030,000 บาท” รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard มาพร้อมกับการตอกย้ำสายพันธ์อังกฤษเต็มขั้น ด้วยตราประทับลายธงชาติอังกฤษ Union Jack สไตล์ MINI Yours
ตามด้วยการเพิ่มทางเลือกสีของเบาะนั่ง และห้องโดยสารทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Leather Chester, Leather Malt Brown, Leather Cross Punch Carbon Black และล่าสุดกับ Leather Lounge Satellite Grey เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และสร้างความโดดเด่นขณะขับขี่แบบเปิดหลังคา ทั้งยังรวมไปถึงการเลือกใช้ล้อเลายพิเศษ MINI Yours Vanity Spoke 2-tone ขนาด 18 นิ้ว กับฝาครอบล้อลาย MINI Yours ด้วยเช่นกัน
ภายในห้องโดยสารของจะมากับพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน แต่จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น โดยในรุ่น Convertible ทางด้านซ้ายจะเป็นปุ่มควบคุม Speed Limit เพื่อกำหนดความเร็วสูงสุดของรถ ส่วนด้านขวาไว้สำหรับควบคุมระบบความบันเทิง และเครื่องเสียง ซึ่งยังสามารถควบคุมได้ทั้งบนหน้าจอ Digital ระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และติดตั้งเทคโนโลยี MINI Connected เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่งท้ายด้วยขุมพลังในอนุกรม Cooper S ที่เร้าใจด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ ที่สามารถทำความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที
และทั้งหมดนี้ คือ “น้ำจิ้ม” เบาๆ ที่ มินิ ประเทศไทย (MINI Thailand) เตรียมไว้ให้ในงาน ซึ่งเราแนะนำว่าถ้าอยาก “ชม” กันอย่างจุใจ ให้ไปเจอที่ MINI Expo 2018 ในวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะเค้ามียนตรกรรมระดับพรีเมียมจาก MINI มาให้ “ส่อง” กันอย่างสะใจกว่า 17 รุ่น เลยทีเดียว