MINI เตรียมตัวลงแข่งแรลลี่ WRC
World Rally Championship 2011
มิวนิค มินิประกาศเตรียมกลับสู่การแข่งขันแรลลี่อีกครั้ง โดยจะเริ่มทดลองลงแข่งในบางรายการของ FIA World Rally Championship (WRC) ในฤดูกาล 2011 ที่จะถึงนี้ และจะแข่งอย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2012
สำหรับรถแข่งแรลลี่ของมินิในครั้งนี้จะเป็น MINI Countryman WRC ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง MINI และ Prodrive เพื่อพัฒนารถแข่งแรลลี่สำหรับมินิโดยใช้พื้นฐานของรถ MINI Countryman ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในปลายเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ โดยเครื่องยนต์เป็นเครื่องเบนซินสี่สูบความจุ 1.6 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบ พร้อมทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งได้รับการปรับแต่งจาก BMW Motorsport และอยู่ภายในกรอบและกฏเกณฑ์การพัฒนาเทคโนโลยีของ FIA International Automotive Federation ซึ่งมุ่งเน้นการนำไปใช้งานได้จริงสำหรับรถที่ผลิตเพื่อการพาณิชย์ ทางทีมตั้งใจที่จะนำ MINI Countryman WRC เริ่มลงวิ่งทดสอบในปลาย
ปีนี้
ในขณะเดียวกันการกลับสู่การแข่งขันแรลลี่อีกครั้งของมินิได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานของ MINI Cooper S ในการพิชิตศึกแรลลี่มอนติคาร์โลในช่วงทศวรรษที่ 1960 ในครั้งนี้ทางทีมมีความมั่นใจในศักยภาพของรถ MINI ที่นอกจากได้ทดลองลงแข่งแรลลี่และสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันแรลลี่ระดับภูมิภาคอย่างรายการ European Rally Championship มาแล้ว ยังมีการแข่งขัน MINI Challenge ในหลายๆ ประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการก้าวเข้าสู่การแข่งขันระดับโลกในรายการ WRC ครั้งนี้เป็นความท้าทายทั้งในส่วนของศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีแข่งขันและการพัฒนาทักษะของทีมงาน แต่ทีมก็มีความมั่นใจอย่างมากและมุ่งมั่นที่จะสร้างตำนานก้องโลกให้กับมินิอีกครั้ง
มร. เอียน โรเบิร์ตสัน กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู เอจี กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่มินิจะเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ระดับนานาชาติในครั้งนี้ ลูกค้าและแฟนๆ ของมินิต่างก็ยินดีที่จะได้เห็นมินิเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่อีกครั้ง MINI Countryman เพียบพร้อมด้วยศักยภาพและสมรรถนะในการเป็นรถแข่งที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จาก Prodrive เรามีความมั่นใจว่าทีมแข่งของเราพร้อมที่จะจารึกชัยชนะของมินิลงในหน้าประวัติศาสตร์แรลลี่อีกครั้ง”
มร. เดวิด ริชาร์ด ประธานกรรมการ Prodrive กล่าวว่า “การกลับเข้าสู่การแข่งขันแรลลี่ครั้งนี้ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆเป็นอย่างมาก ในยุคทศวรรษที่ 1960 มินิได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับโลกด้วยการพิชิตศึกแรลลี่มอนติคาร์โลที่ขึ้นชื่อเรื่องความหฤโหดตลอดเส้นทาง 4,000 กิโลเมตรท่ามกลางหิมะฤดูหนาว มินิคันจิ๋วสามารถเข้าเส้นชัยเป็นสามอันดับแรก ทิ้งคู่แข่งยักษ์ใหญ่ที่น่ากลัวพร้อมเครื่องยนต์ V8 หลายร้อยแรงม้าไว้ข้างหลัง ในวันนี้ แฟนๆมินิต่างก็ตื่นเต้นและยินดีที่มินิตัดสินใจกลับสู่การแข่งขันแรลลี่อีกครั้งหนึ่ง”
บริษัท Prodrive ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1984 โดย เดวิด ริชาร์ด หลังจากคว้าชัยชนะ WRC World Rally Championship สามปีก่อนหน้านั้น โดยเขาขับคู่กับ อารี วาทาเนน นักแข่งชาวฟินแลนด์ ปัจจุบัน Prodrive มีพนักงานกว่า 500 คน และได้รับการยกย่องให้บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนารถแข่งแห่งหนึ่งของโลก จากดีกรีแชมป์ระดับโลกหลายๆ รายการ ยกตัวอย่างเช่น แชมป์ WRC 6 ครั้ง, แชมป์ British Touring Car Championship 5 ครั้ง และแชมป์ Le Mans 24 ชั่วโมง 3 ครั้ง เป็นต้น
Prodrive ได้เริ่มพัฒนารถแข่งแรลลี่ MINI Countryman WRC มาตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2009 โดยพัฒนาจากพื้นฐานรถ MINI Countryman ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์แบบ Crossover ที่มีความสูงอยู่ระหว่างรถยนต์แบบซาลูนและรถอเนกประสงค์ SAV Sports Activity Vehicle ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของอารมณ์การขับขี่ในสไตล์โกคาร์ทฟีลลิ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์มินิออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งยังเพิ่มประโยชน์ใช้สอยและความอเนกประสงค์ได้อย่างสร้างสรรค์และชาญฉลาด มันยังได้รับการเสริมสมรรถนะพร้อมที่จะบุกตะลุยด้วยอ๊อปชั่นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ MINI ALL4 ทำให้ MINI Countryman โดดเด่นด้วยอารมณ์การขับแบบ Go-kart feeling ทั้งในทางเรียบและทางฝุ่น
MINI Countryman WRC ถูกพัฒนาจากพื้นฐาน MINI Cooper S Countryman รุ่นมาตรฐาน ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ที่ทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ซึ่งจัดเป็นระบบเครื่องยนต์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน เครื่องยนต์นี้สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบและแรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-5,000 รอบ และสามารถเพิ่มเป็น 260 นิวตัน-เมตรในขณะเร่งแซงด้วยฟังก์ชั่น Overboost ส่งกำลังผ่านระบบเกียรธรรมดา 6 สปีด (สามารถสั่งอ๊อปชั่นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดได้) สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.6 วินาที นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี MINIMALISM ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Brake Energy Re-generation, ฟังก์ชั่น Auto Start/Stop, ระบบปั๊มน้ำและปั๊มน้ำมันเครื่องแบบ On-demand และระบบ Shift Point Display ซึ่งช่วยเพิ่มสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันในเวลาเดียวกัน MINI Cooper S Countryman มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 14.9 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมทั้งอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 157 กรัมต่อกิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัด EU5)