New Lexus CT200h
เลกซัส CT200h
I. ความรื่นรมย์ (Pleasure) ในการขับขี่ กับสมรรถนะที่โดดเด่นและเหนือกว่ากับ
Lexus Hybrid Drive System
ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง แบบ Atkinson Cycle ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิค (EFI) และระบบปรับองศาวาล์วแปรผัน VVT-i (Variable Valve Timing-intelligent) ที่ให้ทั้งสมรรถนะ และความประหยัด ประกอบกับความสามารถในการประสานเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ที่ใช้ระบบวาล์วแปรผัน VVT-i กับมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลังส่งผลให้ระบบเครื่องยนต์เลกซัสไฮบริดไดร์ฟ (Lexus Hybrid Drive) ของรุ่น CT200h มีกำลังเสมือนเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แต่มีค่าคาร์บอนไดอ็อกไซด์ทางไอเสียต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกรูปแบบการตอบสนองต่อการขับขี่ได้สองแบบ คือ Dynamic และ Relaxing (2 moods 2 modes) โดยจะแสดงผ่านสีของไฟบนหน้าปัด -สีแดงและสีฟ้า- ผสานกับโหมดการขับเคลื่อนอีกสี่รูปแบบ ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน Eco กับ Normal เน้นการขับขี่แบบอารมณ์ที่สบายผ่อนคลาย (Relaxing) ในขณะ ที่โหมด Sport จะเน้นไปที่การขับขี่แบบเร้าใจ (Dynamic) นอกจากนี้ในโหมด EV หรือการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถแล่นไปได้อย่างเงียบกริบด้วยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และการปล่อยไอเสียอย่างก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์(CO2) ก๊าซไนตรัสอ็อกไซด์(NOx) และเขม่ากลายเป็นศูนย์
ประสิทธิภาพเครื่องยนต์
กำลังเครื่องยนต์: 99/5,200 PS/rpm
แรงบิด: 142/2,800 – 4,400 Nm/rpm
มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง
เลกซัสได้พัฒนาหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าขึ้นใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้าที่ยอดเยี่ยม พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังส่งสูงที่สามารถแปลงกระแสไฟกำลังสูงจากหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าไปเป็นพลังขับเคลื่อนรถยนต์ ระบบดังกล่าวให้สมรรถนะในการเร่งที่เงียบและทรงพลัง ทั้งในขณะออกตัวและให้การตอบสนองที่ดีเลิศแม้ในขณะเร่งเครื่องยนต์ด้วยความเร็วในแบบที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากใช้ระบบเครื่องยนต์เบนซินเพียงอย่างเดียว
ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง
แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด 650V
กำลังสูงสุด 60 kw
แรงบิดสูงสุด 207 Nm
แรงม้าสูงสุด (ทั้งระบบ) 134 hp / 136 PS
อัตราเร่ง 0-100 km/h: 10.3 sec
ระบบส่งกำลังที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ
เลกซัสได้เลือกใช้ระบบส่งกำลังแบบแปรผันต่อเนื่อง ซึ่งควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า (Electrically Controlled Continuously Variable Transmission) เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์ไฮบริดได้อย่างลงตัวและให้การขับขี่ที่นุ่มนวล ระบบส่งกำลังดังกล่าวประกอบไปด้วยอุปกรณ์ส่งถ่ายกำลังแบบ Split device มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังส่งสูง และเจเนอเรเตอร์
เพลิดเพลินไปกับการขับขี่ ด้วยสมรรถนะแห่งการขับเคลื่อน พร้อมคุณลักษณะพิเศษ ของระบบ ไฮบริด ด้วย 2 รูปแบบ 2 อารมณ์การขับขี่ (2 moods 2 modes) ไม่ว่าจะเป็นแบบสบายๆในโหมด Normal, Eco และ EV โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะแสดงเป็นสีฟ้า และการขับขี่แบบสนุกสนานในโหมด Sport โดยที่ไฟส่องสว่างหน้าปัทม์จะเปลี่ยนเป็นสีแดง รวมถึงการตอบสนองของระบบต่างๆ อาทิ VSC TRC ABS รวมถึง น้ำหนักพวงมาลัย เพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ต และความสนุกสนานเร้าใจ
II. ความภาคภูมิ (Prestige) ในความหรูหรา และ Design ที่โฉบเฉี่ยว
ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ L-finesse
การออกแบบภายนอก (Exterior)
ดีไซนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Hybrid (Distinctive Styling for Hybrid) สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ “L-finesse” ผ่านเส้นสายของตัวถังที่ลื่น ไหลไปตามหลักอากาสพลศาสตร์ ด้วยค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทานต่ำ (Cd) เพียง 0.29 อีกทั้ง รูปทรงของโป่งล้อที่กว้างเพื่อรองรับกับซุ้มล้อ ทำให้รถดูต่ำแนบพื้น พร้อมฝากระโปรงหน้า และประตูท้ายทำจากอลูมิเนียม ทำให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วง (CG) ที่ต่ำ รับกับหลังคาที่เทลาด ให้ อารมณ์สปอร์ตรวมถึงการทรงตัวที่ดี
กระจังหน้ารูปลักษณ์ใหม่ แบบ ‘spindle-shaped’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจาก รูปแบบของลมที่ปะทะตัวรถในระหว่างที่รถวิ่ง สอดรับกับแนวเส้นสายของตัวถัง
กระจกด้านหลังมีเส้นสายดีไซน์แบบ ‘Slingshot’
ไฟหน้าแบบ LED ใหม่ พร้อมไฟ Daytime Running Lights และ ไฟหรี่แบบ LED รูปทรง L- shape
ไฟท้ายและไฟเบรกใหม่ แบบ LED ให้การส่องสว่างที่ชัดเจนในยามค่ำคืน ให้การตอบสนองที่ ฉับ ไว โดยใช้พลังงานที่ต่ำ พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนาน
การออกแบบภายใน (Interior)
ในส่วนของการออกแบบภายใน ด้วยการคำนึงถึงอรรถประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบาย ภายใต้หลักการ HMI (Human-Machine Interface) โดยการแบ่งโซนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของการควบคุม และ การแสดงผล ด้วยการออกแบบดังกล่าว ทำให้ผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นต้องละสายตาจากการมองเส้นทาง ทำให้เกิดความสะดวกสบาย และความปลอดภัยตลอดการเดินทาง
III. ความก้าวล้ำด้านนวัตกรรม (Intelligence)
ทั้งระบบความปลอดภัยระดับโลก เทคโนโลยีอันทันสมัยเหนือคู่แข่ง
และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับ First Class
EMV Remote Control Device : ด้วยชุดควบคุมบริเวณคอนโซลกลาง รูปทรงแบบเม๊าส์ คอมพิวเตอร์ ทำให้การควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยแสดงผลผ่าน หน้าจอแบบ Electro-Multi Vision (EMV) พร้อม ระบบแผนที่นำทาง
เบาะหน้าใหม่ ด้วยระบบปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านท้าย มาพร้อมกับหมอนรองศีรษะแบบ Passive Headrest ให้การปกป้องผู้โดยสาร เมื่อเกิดการชนจากด้านท้าย โครงด้านข้างของเบาะ จะยุบตัว ทำให้หมอนรองศรีษะ เคลื่อนเข้ารองรัศรีษะของผู้โดยสาร ช่วยลดการบาดเจ็บที่ บริเวณกระดูกต้นคอ
ระบบนำทางจากเลกซัส (Lexus Navigation System) ทำงานโดยแสดงแผนที่แบบ DVD และบอกเส้นทางด้วยระบบเสียง เพื่อการนำทางที่ถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถค้นหาเส้นทางและซูมตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นรายแรกในประเทศไทยสำหรับยนตรกรรมหรูทื่แสดงข้อมูลการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครแบบ Real-time โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลกองบังคับการตำรวจจราจร เพื่อการวางแผนการเดินทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
IV. ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility)
ด้วยแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับเทคโนโลยีการผลิต
และระบบ Lexus Hybrid Drive
ด้วยเทคโนโลยีของ Lexus Hybrid Drive, CT200h จึงปล่อยค่าไอเสียออกสู่บรรยากาศต่ำที่สุดในระดับ World-class ตามมาตรฐาน Euro Step V ด้วยอัตราเฉลี่ยของ CO2 เพียง 94 กรัม/กม. และนอกจากนี้ยังมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่งระดับเดียวกัน โดยมีอัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ย ที่ 24.4 กม/ลิตร
{phocagallery view=category|categoryid=187|limitstart=0|limitcount=0}