ศึกรถอเนกประสงค์ PPV … ค่ายไหนเด่น รุ่นไหนโดนในปี 2019
ไม่ใช่กลุ่มรถปิคอัพเท่านั้นที่ได้รับกระแสนิยมล้นหลามจากชาวไทย หากแต่ยังมีในกลุ่มของรถอเนกประสงค์ PPV อีกกลุ่มที่เริ่มคึกคัก และเป็นที่น่าจับตามากขึ้น ด้วยเนื่องมาจากคุณสมบัติของการใช้งานที่ครอบคลุม ทั้งในเรื่องสมรรถนะ และออพชั่นต่างๆ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละค่ายจะพยายามสร้างฐานกลุ่มผู้บริโภคในรถกลุ่มนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ส่วนแต่ละค่ายจะมี “ของดี” อะไรบ้างนั้นมาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า
Nissan Terra
ว่ากันด้วยน้องใหม่ในตลาดรุ่นล่าสุดกับ Terra จากค่าย Nissan ที่นำเสนอความสดใหม่ผ่านแนวคิด NISSAN INTELLIGENT MOBILITY (NIM) ด้วยการใส่ฟังค์ชั่นล้ำสมัยมาให้เป็นครั้งแรก ผสมผสานไปกับสมรรถนะเหนือระดับ เพื่อมอบอิสระในการขับขี่ทุกสภาวะเส้นทาง และทุกสภาพอากาศ เพื่อพิชิตความท้าทายต่างๆ
โดยเฉพาะในเรื่องของระบบความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี NISSAN INTELLIGENT MOBILITY – INTELLIGENT DRIVING พร้อมด้วยจุดเด่นเป็นขุมพลังดีเซลใหม่ พิกัด 2.3 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พ่วงตัวช่วยเป็น Twin-Turbocharged, อินเตอร์คูลเลอร์ และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ในการสร้างพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ที่มาพร้อมโหมดขับขี่แบบ M mode
ซึ่งมีให้เลือกจับจองกัน 3 รุ่นย่อยมาตรฐาน เริ่มต้นด้วยเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 2 ล้อ คือ รุ่น 2.3V และ 2.3VL ตบท้ายด้วยรุ่นท็อปสุด 2.3VL 4WD ที่มากับจุดเด่นเรื่องระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) และระบบล็อคไฟฟ้า ที่สามารถ Shift-On-the-Fly เปลี่ยนโหมดการขับขี่จากขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) ได้ง่ายๆ พร้อมด้วยโหมดการขับขี่แบบความเร็วต่ำ (4Lo) ให้เลือกใช้ สำหรับการขับขี่ในสไตล์ออฟโรด
Ford Everest
ความเร้าใจในสมรรถนะของ Ford Ranger Raptor นั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มของรถปิคอัพเท่านั้น เพราะล่าสุดทาง Ford ได้ยกความทรงพลังดังกล่าว ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในจุดเด่นของรถอเนกประสงค์ระดับหรูอย่าง Everest ด้วยเช่นกัน ในฐานะไลน์อัพรุ่นท็อปสุด
ทำให้ Ford Everest มีรถทำตลาดด้วยกันถึง 4 รุ่น โดย 3 รุ่นจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์มาตรฐานในพิกัด 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 180 แรงม้า และแรงบิด 420 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ ในขณะที่มีรุ่นท็อปสุด คือ Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 เป็นไฮไลต์ ด้วยสมรรถนะที่มาจาก Raptor กับเครื่องยนต์ดีเซลพิกัด 2.0 ลิตร Bi-Turbo ซึ่งเสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศประสิทธิภาพสูง ทั้งเทอร์โบแรงดันสูง (HP) และเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) จนได้ผลประกอบการเป็นพละกำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิดที่สูงถึง 500 นิวตันเมตร
ตามด้วยการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดในทุกรุ่น โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นมากับการอัพเกรดความสามารถด้วยระบบ Terrain Management และเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential โดยมีให้เลือกขับขี่ทั้งแบบ 2H, 4H และ 4L สำหรับสายลุย พร้อมด้วยรวมไปถึงออพชั่นต่างๆ ในเรื่องของระบบความปลอดภัย ที่ยังคงจัดมาให้ครบๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจในทุกขณะการขับขี่
Mitsubishi Pajero Sport
สำหรับค่าย Mitsubishi ยังคงนำเสนอความยอดเยี่ยมแห่งรถอเนกประสงค์ PPV ในรุ่น Mitsubishi Pajero Sport ที่มีให้เลือก 3รุ่นมาตรฐาน แบบขับเคลื่อน 2 ล้อรุ่น GT และ GT-Premium พร้อมด้วยรุ่นท็อปสุดแบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นย่อย GT-Premium ก่อนที่ล่าสุดจะเพิ่มความน่าสนใจ ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษในชื่อ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition ที่พกพาความโดดเด่น และแตกต่างแบบเต็มพิกัด ด้วยรูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายใน โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งนำเสนอความหล่อเหลาบนตัวถัง 2 สี พื้นฐานคือสีดำ Jet Black Mica และสีขาว White Pearl
โดยในส่วนของสีดำ Jet Black จะเน้นความสปอร์ตดุดันที่ลงตัวกับความหรูหราเหนือระดับ เช่น การตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ Pajero Sport บนฝากระโปรงหน้า ลงตัวกับชุดกระจังหน้าสีดำ, ชุดตกแต่งใต้กันชนหน้า และกันชนหลังตลอดจนราวหลังคา, สปอยเลอร์หลัง, ปลายท่อไอเสียสแตนเลส และล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้วสีดำทั้งหมด ส่วนสีขาว White Pearl หล่อเหลาแบบสะอาดตาด้วยการตกแต่งแบบหรูหรา เสริความสปอร์ตด้วยหลังคำสีดำ Jet Black Mica ตลอดจนความครบครันด้วยอุปกรณ์ตกแต่งรอบคัน
ส่วนภายในห้องโดยสารยกระดับความหรูด้วยเบาะหนังสีน้ำตาลแบบ Horizontal Stripe รวมแผงข้างประตู และกล่องเก็บขอบริเวณคอนโซลกลาง และการติดตั้งแผ่นกันรอยบริเวณขอบประตูทำจากวัสดุสแตนเลส ที่โดดเด่นด้ยชุดไฟ LED ที่รับกับงานดีไซน์ของพรมรองพื้นห้องโดยสาร ในขณะที่ระบบความปลอดภัยนั้นยังคงจัดมาให้อย่างครบครันเช่นเดิม
ด้านขุมพลังของ Pajero Sport นั้นยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ MIVEC ในพิกัด 2.4 ลิตร ซึ่งให้กำลังสูงสุดที่ 181 แรงม้า พร้อมแรงบิด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ซึ่งในเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นมากับระบบ Super Select 4WD-II ที่ประกอบด้วยโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ คือ 2H, 4H, 4HLc (4WD High-range with Locked Transfer) และ 4LLc (4WD Low-Range with Locked Transfer) พร้อมระบบล็อกเฟืองท้าย (Rear Differential Lock) ที่ทำงานร่วมกับระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง (Center Differential Lock) ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
Toyota Fortuner
ทางด้าน Toyota นั้นเรียกว่าเปิดไลน์อัพ Fortuner ออกมาตอบโจทย์ความต้องการได้แบบ “ครบเครื่อง” ตั้งแต่รุ่นเครื่องยนต์เบนซินในรหัส 2TR-FE พิกัด 2.7 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC Dual VVT-I ขับเคลื่อน 2 ล้อด้วยพละกำลัง 166 แรงม้า พร้อมแรงบิด 245 นิวตันเมตร
ตามด้วยวิถีแห่งขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พ่วงระบบอัดอากาศ VN Turbo และ Intercooler ซึ่งมีให้เลือก 2 พิกัด คือ 2.4 ลิตร 150 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร และ 2.8 ลิตร 177 แรงม้า พร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร โดยในรุ่นท็อปไลน์อัพแบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นทาง Toyota พร้อมรับมือกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยด้วยการมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร และ 2.8 ลิตรเลยทีเดียว
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะสำหรับสาวก Fortuner ยังมีเวอร์ชั่นท็อปสุดๆ กับรุ่นย่อย TRD Sportivo ใหม่ ให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย จากพื้นฐานรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ กับ 2 สไตล์โทนสี คือ สีขาวมุก White Pearl Crystal / Black Top และสีดำ Attitude Black Mica
โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การอัพเกรดดีไซน์ภายนอกให้มีความสปอร์ต และทันสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต และกระจังหน้าสีดำเมทัลลิก พร้อมสเกิร์ตหน้า, กระจกมองข้างสีดำเมทัลลิก, กรอบไฟตัดหมอก, กันชนท้ายพร้อมสเกิร์ตหลังดีไซน์ใหม่ และคิ้วประตูท้ายสีดำเมทัลลิก ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยด์จาก TRD ขนาด 20 นิ้ว สีทูโทน
ส่วนภายในสปอร์ตเร้าใจด้วยวัสดุหนัง และหนังสังเคราะห์สีดำสลับแดง พร้อมชุดแต่งลายคาร์บอนเคฟล่า และแถบโครเมียมรมดำ, มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron สีแดงลายคาร์บอนเคฟล่า และการประทับตราสัญลักษณ์ TRD ไปจนถึงชุดแต่งช่วงล่างพิเศษเฉพาะรุ่น TRD Sportivo ครั้งนี้มาพร้อมกับทางเลือก 2 สีภายนอก ได้แก่ สีขาวมุก White Pearl Crystal พร้อมหลังคาแบบสปอร์ตสีดำ Black Top และสีดำ Attitude Black Mica
ISUZU MU-X
ค่าย ISUZU ในไลน์อัพของรถอเนกประสงค์ยังคงมี MU-X เป็นพระเอก หลังจากอัพเกรดความสดใหม่ด้วยขุมพลังเทคโนโลยี Blue Power ที่มีให้เลือกกันถึง 2 ขุมพลังกับเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร ที่มีเรี่ยวแรง 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 350 นิวตันเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และพิกัดใหญ่ 3.0 ลิตร 177 แรงม้า พร้อมแรงบิด 380 นิวตันเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
ก็ถึงเวลาเติมชีวิตใหม่ให้ ISUZU MU-X ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษที่ชื่อว่า “ISUZU MU-X THE ICONIC” ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่มาพร้อมการอัพเกรดรูปลักษณ์ใหม่ด้วยการเน้นความสปอร์ตรอบคัน จากการติดตั้งชุดแต่ง ICONIC STYLE พร้อมด้วยห้องโดยสารภายในที่มากับสีโทนเข้มแบบ Lava Black เพื่อเน้นอารมณ์สปอร์ต โดยมีระบบความบันเทิงแบบ Built-in Navigator และ Digital TV Tuner ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับล้ออัลลอยด์ลาย ICONIC CROSS ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 R18
ส่วนขุมพลังนั้นยังคงยืนหยัดใน 2 พิกัดมาตรฐาน คือ ขนาด 1.9 ลิตร และ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ Revtronic 6 สปีด และช่วงล่างที่นุ่มนวล ตลอดจนเทคโนโลยี และฟังก์ชั่นต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตยุคใหม่ ซึ่งมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาวมุกเอเวอร์เรสต์ (Everest Pearl White) และสีดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black)
Chevrolet Trailblazer
ปิดท้ายด้วยแบรนด์ Chevrolet ที่มาแบบเงียบๆ แต่มีรุ่นพิเศษให้เลือกกันถึง 2 รุ่นด้วยกัน คือ Chevrolet Trailblazer Z71 ที่อัพเกรดความพรีเมียมเพิ่มขึ้นอีกระดับ ตั้งแต่ภายนอกที่เฉียบคม เช่น กระจังหน้าใหม่เพิ่มความสปอร์ตด้วยวัสดุสีดำเงา รับกับฝากระโปรงหน้าตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีดำด้าน ย้ำความพิเศษด้วยสติ๊กเกอร์ Z71 4X4 บนฝากระโปรงท้าย และล้ออัลลอยด์สีดำ 18 นิ้ว
ส่วนภายในออกแบบเปี่ยมด้วยความหรูหรา และแข็งแกร่งด้วยโทนสีดำ ด้วยคอนโซลกลางใหม่ ที่มีการดีไซน์แผงควบคุมใหม่ ตลอดจนเบาะที่นั่งหุ้มหนังแท้ และมีปักโลโก้ Z71 4×4 ในบริเวณหัวหมอนรองศีรษะคู่หน้า ตามด้วยชุดมาตรวัดใหม่ พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่อ่านง่าย และชัดเจนมากขึ้น
ในขณะที่อีกหนึ่งรุ่นที่ชื่อ Phoenix Edition นั้นสะดุดตามากกว่าด้วยสไตล์ที่โดดเด่นของชุดแต่ง ตั้งแต่ภายนอกที่ประกอบด้วย สัญลักษณ์ Trailblazer บนฝากระโปรงหน้า พร้อมตราโลโก้ทั้งด้านหน้า และด้านหลังโทนสีดำ เช่นเดียวกับคิ้วตกแต่งฝาท้าย Trailblazer ตามด้วยการเสริมชุดซุ้มล้อสีดำด้าน ที่ตัดกับสติ๊กเกอร์ด้านข้างสีเทาลายสปอร์ต โดยด้านหลังมากับสปอยเลอร์หลังสีดำด้าน รับกับชุดกันรอยกันชนท้าย และสติ๊กเกอร์สีดำด้าน ส่วนภายในแสดงความสปอร์ตสุดขั้นด้วยวัสดุโทนสีแดงเงาที่นำมาตกแต่งในรายละเอียดต่างๆ เช่น กรอบช่องแอร์, กรอบคอนโซลเกียร์, กาบตกแต่งแผงข้างประตู ที่มาพร้อมสัญลักษณ์ Chevrolet
โดยรุ่นมาตรฐานของ Trailblazer นั้นจะมาพร้อมเครื่อยนต์ดีเซล คอมมอนเรล แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VGT) และอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 180 แรงม้า พร้อมแรงบิด 440 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมฟังก์ชัน Manual Mode ทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ เช่นเดียวกับรุ่นพิเศษอย่าง Phoenix Edition ส่วนรุ่นพิเศษอย่าง Chevrolet Trailblazer Z71 จะมีเฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น