รีวิว : ลองขับ Honda Accord 1.5 Turbo EL เครื่องเล็ก สเป็กติดหอย
ก้าวเข้าสู่ เจนเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว สำหรับ ฮอนด้า แอคคอร์ด เก๋งซีดานขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ โดยตัวถังในเจน 10 นี้เป็นตัวถังเดียวที่ทำตลาดไปทั่วโลก ซึ่งลูกค้าในประเทศไทย ไม่ต้องคิดให้ปวดหัว เพราะมี 3 รุ่นย่อยให้เลือกแบบชัดเจนว่าจะไปในแนวทางไหน เริ่มตั้งแต่ Honda Accord 1.5 Turbo EL, Honda Accord Hybrid และ Honda Accord Hybrid Tech โดยในส่วนของสื่อมวลชนนั้น ทาง ฮอนด้า ประเทศไทย ได้จัดให้ทดลองขับในรุ่น 1.5 Turbo EL กันก่อน ส่วนรุ่นไฮบริดมีกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าเดือนกรกฎาคม 2562 จึงต้องอดใจรออีกนิด
หลายคำถาม หลากข้อสังเกต ที่ผู้คนให้ความสนใจว่า รถคันใหญ่อย่างแอคคอร์ด ที่มีน้ำหนักตัว 1,464 กก.จะไปไหวเหรอกับเครื่องเล็กขนาด 1.5 ลิตร แม้จะพ่วงด้วยหอยพิษก็ตาม ถึงแม้แฟนคลับฮอนด้าจะคุ้นเคยกับเครื่องบล็อกที่ว่านี้มาหลายปีแล้วในตัว ซีวิค เทอร์โบ แต่ถ้ายังไม่ได้สัมผัส ก็มักจะมีข้อสงสัย เดี๋ยวเราค่อยไปไขคำตอบกันทีละบรรทัด จากการลองขับในครั้งนี้กัน
เล่าก่อนว่า การทดลองขับในครั้งนี้ ฮอนด้า ประเทศไทย ได้จัดเตรียมเส้นทางทดสอบยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยขับออกไปทาง ดอยสะเก็ด ที่จะมุ่งหน้าไปเชียงราย ระยะทางรวม 170 กม.(ผลัดกันคนละครึ่งทางกับบัดดี้ในรถ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทางตรงยาวๆ ผสมกับโค้งขึ้น-ลงเขาแบบกว้างๆ ใช้ความเร็วสูงได้ และงานนี้วิศวกรที่พัฒนา แอคคอร์ด เจน 10 นี้ ได้บินมาร่วมไขความกระจ่างให้กับสื่อมวลชนในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย
พัฒนากันตั้งแต่โครงสร้างตัวถัง
เห็นกันมาตั้งแต่ แอคคอร์ด เจนเนอเรชั่นที่แล้ว ที่มาในมาดซีดานระดับพรีเมียม ดีไซน์เรียบหรูแต่ใส่ความสปอร์ตลงไปด้วย ซึ่งในเจนเนอเรชั่นที่ 10 นี้ก็เช่นกัน แต่ได้สะท้อนความเป็นพรีเมียมที่มากยิ่งขึ้น โดยจะสังเกตเห็นว่า มีรูปลักษณ์ที่เข้าสู่ยุคใหม่ของฮอนด้า ด้านท้ายจะมีลักษณะลาดเอนค่อนข้างมาก ส่วนด้านหน้าแม้จะเป็นรุ่นย่อยเริ่มต้น แต่จัดชุดไฟหน้าแบบ Full LED มาให้เลย พร้อมด้วย Daytime Running Light แบบ LED ด้วยเช่นกัน ในส่วนของล้อแม็ก มาตามสเป็กรุ่นเริ่มต้น กับล้อแม็กอัลลอยขนาด 17 x 7.5 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/50R17 ซึ่งเท่ากันกับใน เจน 9
ขนาดมิติตัวถัง มีการขยายฐานล้อจากเดิมเพื่อความโอ่อ่า นั่งสบายมากยิ่งขึ้น โดยมีความยาวตัวรถ 4,894 มม.ความกว้าง 1,862 มม.ความสูง 1,450 มม.ระยะฐานล้อ 2,830 มม.และมีความสูงจากพื้นถึงใต้ท้อง 131.3 มม.หากใครที่ชอบล้างรถเอง นี่คงเป็นรถที่มีความสะดวกสบายมากคันหนึ่งในการล้าง เพราะหลังคามีความเตี้ยลง ยืนฝั่งซ้ายก็สามารถข้ามมือไปได้เกือบถึงฝั่งขวา
วิศวกรจากญี่ปุ่น ได้บอกไว้ว่า แอคคอร์ดใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 10 นี้ มีการลดเสียงรบกวนที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร โดยการฉีดโฟมเข้าไปที่ตัวถังบริเวณเสา และหลังคา รวมทั้งสิ้น 10 จุด จึงทำให้เสียงรบกวนส่งผ่านเข้าสู่ห้องโดยสารได้น้อยมากๆ นอกจากนี้ยังมีการปรับเสา A ให้ขยับเยื้องเข้ามาทางด้านหลังอีก 100 มม.เพื่อช่วยให้มุมมอง ทัศนวิสัยขณะเลี้ยวเห็นได้กว้าง และชัดเจนขึ้น พร้อมกันนี้โครงสร้างตัวถังยังทนต่อการบิดตัวเพิ่มขึ้น 32%
ภายในเรียบหรู ฟีลลิ่งนั่งจะจมๆ นี่แหละนั่งสบาย ขับก็สบาย
สัมผัสแรกที่หย่อนก้นลงนั่ง เสมือนอยู่ในค็อกพิท แต่ไร้ซึ่งความอึดอัด เบาะนั่งจะต่ำๆ หน่อย เนื่องจากมีการลดจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่าเดิมอีก 1 % โดยที่เบาะคนขับเป็นแบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง คือถ้าใครที่รู้สึกว่าตำแหน่งการนั่งต่ำไปก็ปรับได้ แต่หากเป็นผู้โดยสารตอนหน้า จะปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ซึ่งบางคนอาจไม่ชิน แต่ส่วนตัวผมชอบนะ เพราะมันทำให้ตำแหน่งของขาไม่ “ห้อย” เหยียดยาวได้สบาย และตัวเบาะก็ทำได้ดี ไม่สั้นไป รองรับต้นขาได้พอดี
พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางแบบแมนน่วล อวบจับกระชับ ผิวสัมผัสด้านๆ ดูหรูหรา พร้อมแอบตัดด้านล่างเล็กๆ ของวงพวงมาลัย ตามสมัยนิยม
เมื่อเหลือบมองไปที่มาตรวัด นี่เป็นลูกเล่นใหม่ๆ ที่รถญี่ปุ่นนำมาใช้ ด้วยหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT นั่นคือแบบเดียวกับที่เป็นหน้าจอสมาร์ทโฟน ซึ่งดูล้ำสมัยมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็น TFT เต็มทั้งหน้าจอ มีในส่วนของอนาล็อกผสมเข้ามาเล็กน้อย ตรงนี้เป็นในเรื่องของกฏหมายเพื่อความปลอดภัยบางข้อ จึงทำให้วิศกรต้องออกแบบมาในลักษณะนี้
ในส่วนของเบาะหลัง ได้ลองไปนั่งดูสักพัก ไม่พบว่าแนวหลังคาที่ดูค่อนข้างลาดจะเป็นอุปสรรค เพราะตำแหน่งเบาะหลังวางได้ดี มีช่องแอร์สำหรับคนนั่งหลัง รวมถึงตรงท้าวแขนเบาะหลังยังสามารถเปิดทะลุไปห้องเก็บสัมภาระท้ายรถได้ด้วย นอกจากนี้พนักพิงเบาะหลังยังสามารถพับลงมาได้ เผื่อเวลาเก็บของด้านหลังที่มีลักษณะยาวๆ เพียงแต่ว่า ขั้นตอนจะยุ่งยากไปนิดเพราะต้องไปปลดล็อกจากในฝากระโปรงท้าย อีกอย่างถ้าได้ช่องเสียบ USB ที่ใต้ช่องแอร์ด้านหลัง ก็จะดีไม่น้อย
1.5 Turbo ขับเพลิน เกินกว่าจะคิดว่าเป็นบล็อกเล็ก
หลายข้อสงสัยสำหรับเครื่องยนต์บล็อกนี้ว่า มีความเหมือน หรือแตกต่างจากบล็อกที่วางอยู่ใน Civic เทอร์โบ มากน้อยแค่ไหน จากคำบอกเล่าของวิศวกร กล่าวไว้ว่า เครื่องยนต์ตัวนี้ เป็นบล็อกเดียวกันกับที่เราคุ้นเคยในซีวิค แต่ได้ปรับเปลี่ยนจุดหลักใหญ่ๆ 2 จุดคือ ฝาสูบที่ไม่เหมือนกัน และเทอร์โบที่ใหญ่กว่า รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ท่อทางเดินไอเสีย การโปรแกรมระบบส่งกำลังใหม่ประมาณนี้
เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC i-Vtec Turbo ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่มีอัตราทด 2.645 – 0.405 และอัตราทดเฟืองท้ายที่ 5.363 ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตรที่ 1,500-5,500 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85
ระบบพวงมาลัยแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ที่หมุนเพียง 2.3 รอบกสุดแล้ว และรัศมีวงเลี้ยว 6.1 เมตร ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบอิสระมัลติลิ้งค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ลองขับพร้อมสรุปเลยแล้วกัน
เข้าเกียร์ D เดินคันเร่ง ความรู้สึกแรกสัมผัสได้ว่า ใช่เครื่อง 1,500 ซีซีจริงหรือ แม้จะพ่วงหอยพิษมาแล้วก็ตาม คือไม่มีความรู้สึกว่ากำลังแบกตัวถังใหญ่ๆ คันเร่งเบาเท้า ขับง่าย แค่เกียร์ D และยังอยู่ในโหมด normal เผลอแปเดียวหน้าปัดตะกายไป 130 กม./ชม.แล้ว
จากนั้นลองเปลี่ยนโหมดมาเป็น sport สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ โทนสีบนมาตรวัดจะดุดันขึ้นด้วยสีแดง และมาตรวัดบูสต์ของเทอร์โบจะปรากฏขึ้นที่วงของวัดรอบ ความรู้สึกของการใช้โหมดนี้ เครื่องยนต์ตอบสนองไวขึ้น การปรับเปลี่ยนหรือ shift เกียร์ด้วย paddle shift จะเป็นไปในแบบสปอร์ตเต็มตัวคือ หากไม่เปลี่ยนเกียร์เองด้วยมือบนแพดเดิ้ลชิฟท์ เกียร์ก็จะไม่เปลี่ยน เว้นแต่จะกดค้างเพื่อรอให้เกียร์กลับมาเป็น D โดยมีถึง 7 เกียร์ด้วยกันแม้จะเป็น CVT แต่ได้ความรู้สึกเล็กๆ ในตอนที่เกียร์เปลี่ยน
แรกๆ บนทางโค้งกว้างๆ ขับมาด้วยความเร็วสูง ความรู้สึกของพวงมาลัยค่อนข้างไว ซึ่งเป็นสไตล์ฮอนด้ามาช้านาน แต่เมื่อจับจังหวะได้ พวงมาลัยค่อนข้างตึงมือบนความเร็วสูงๆ ช่วยให้มั่นใจได้เยอะ ช่วงล่างออกแนวแน่นๆ ไม่ถึงกับกระด้างแต่ไม่ใช่แนวนุ่มนวลชวนฝัน อาการโยนตัวบนโค้งมีน้อยมากทำให้เข้าโค้งได้เร็วขึ้น มั่นใจขึ้น เสียงรบกวนบนความเร็วสูงๆ ส่งผ่านมาในห้องโดยสารน้อยมาก ได้ยินแต่เสียงยางเบาๆ และเสียงเครื่องคำรามเล็กๆ
เบรกสั่งงานได้อย่างใจตามน้ำหนักเท้าสั่ง ไม่ว่าจะชะลอหรือเบรกหนักหยุดตามใจสั่ง ไม่รู้สึกเลยว่ากำลังขับรถคันใหญ่ๆ ตอนที่ทดลองขับ ฮอนด้าใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 ในการทดลองขับ ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองตามตัวเลขที่ขึ้นบนจอดิสเพลย์นั้นป้วนเปี้ยนอยู่แถว 10-12 (กว่าๆ) กม./ลิตร แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะเราค่อนข้างกดกันเต็มเหนี่ยว เพื่อเน้นดูสมรรถนะด้านอื่นๆ ส่วนตัวเลขที่ออกมากับสมรรถนะเมื่อเคลมว่าเหนือกว่าเครื่อง 2.4 ไม่มีเทอร์โบ (แบบเดิมๆที่คุ้นเคย) ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีกว่าจริงๆ
สุดท้ายกับราคาของ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ เจนเนอเรชั่น 10 ในรุ่นเริ่มต้น (1.5 Turbo EL) เปิดราคากันที่ 1,475,000 บาท กับออปชั่นบางอย่างที่จัดเต็มดีเช่น ไฟหน้าแบบฟูลแอลอีดี แต่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างถ้าได้เพิ่มมาก็จะสมบูรณ์แบบขึ้นเช่น ไฟส่องตรงม่านบังแดด และเซนเซอร์ถอยจอด แต่เชื่อได้ว่าความโดดเด่นที่ว่ามาทั้งหมดดูจะกลบรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ไปเลย
ราคาจำหน่าย New Honda Accord Gen 10
1.5 Turbo EL 1,475,000 บาท
Hybrid 1,639,000 บาท
Hybrid Tech 1,799,000 บาท