รีวิว : One Day Trip สัมผัสสมรรถนะเร้าใจ กับ MINI Cooper SE ยนตรกรรมไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุด
หลังจากเปิดตัวไปไม่นาน “มินิ ประเทศไทย” ก็ร่อนหมายเชิญสัมผัสสมรรถนะทันทีกับ MINI Cooper SE พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งทริปนี้จะเป็นเส้นทางไป-กลับระหว่าง “จังหวัดปทุมธานี และสระบุรี” โดยก่อนออกเดินทางจะเป็นการรับฟังข้อมูลผลิตภัณฑ์เล็กน้อย ให้ได้เก็บข้อมูลมาทำความเข้าใจในระหว่างทดลองขับ กับเรื่องราวจุดเด่นของ MINI Cooper SE ที่มีราคาสุดเร้าใจเพียง 1,699,000 บาท
เริ่มจากแรงบันดาลใจในการออกแบบ ซึ่งเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของ Cooper SE นี้มีการนำเอาดีไซน์ของ DNA ดั้งเดิมในความเป็น “มินิ” มาผสมผสานเข้ากับนวัตกรรมยานยนตร์ไฟฟ้า 100% และนั่นหมายถึงว่า Cooper SE รุ่นล่าสุดที่เห็นอยู่นี้ ได้รับการออกแบบมาสำหรับระบบขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ และภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อต่อยอดประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบ “Electrified Go-Kart” อันน่าตื่นเต้น
Cooper SE เจนเนอเรชั่นที่ 5 นี้ มากับขนาดมิติตัวถังที่ได้รับการปรับขยายเพิ่มขึ้นในทุกสัดส่วน ตั้งแต่ความยาวตลอดคันที่ 3,858 มม. หรือเพิ่มขึ้น 8 มม. ความกว้างที่ 1,756 มม. หรือเพิ่มขึ้นถึง 29 มม. และความสูงที่ 1,460 มม. หรือเพิ่มขึ้น 28 มม. ขณะที่ความยาวฐานล้อเองก็ขยายออกไปถึง 2,526 มม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 31 มม.
งานดีไซน์มากับแนวคิด “ความเรียบง่ายอันทรงเสน่ห์” ด้วยองค์ประกอบที่ยังคงมีเอกลักษณ์ของ Mini ภายใต้การปรับเปลี่ยนไปตามนิยามความสดใหม่ โดยจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ไฟหน้าทรงกลม และล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยี Signature ที่มีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ คือ Classic, Favoured และ JCW ทั้งยังช่วยเพิ่มความโดดเด่นเด่นสะดุดตากับชุดกระจังหน้าแบบ “ปิด” รูปทรง 8 เหลี่ยมในกรอบสีเงิน Vibrant Silver มุมมองด้านหลัง เรียกได้ว่า “แปลกตา” พอสมควร ในส่วนของชุดไฟท้าย แต่จากภาพรวมดูแล้วถือว่าเหมาะสมดี กับการนำเสนอความล้ำหน้า ล้ำสมัยของเทคโนโลยีในความเป็น Cooper SE
ภายในห้องโดยสารชัดเจนในงานดีไซน์ที่เน้นความ “เรียบง่าย” รวมไปถึงความ “รักษ์โลก” ด้วยเช่นกัน จากรายละเอียดการตกแต่งในส่วนต่างๆ ที่ผลิตด้วยเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90% แถมเบาะนั่งสไตล์สปอร์ต ก็เป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ ที่นำมาใช้เพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงในส่วนของ “ล้อ” ด้วยเช่นกัน ที่เลือกใช้วัสดุ “อลูมิเนียม รีไซเคิล”
ขณะที่เรื่องของงานดีไซน์ที่ว่า “เรียบง่าย” ก็ชัดเจน เพราะชุดควบคุมต่างๆ ถูกมัดรวมอยู่ใน จอ MINI Interaction Unit แบบ OLED ทรงกลมความละเอียดสูง ที่ติดตั้งอยู่บนคอนโซลหน้า โดยมีชุดควบคุมเล็กๆ ใต้จอ ที่ประกอบด้วย เบรกมือ, สวิตช์เลือกเกียร์, สวิตช์หมุนสตาร์ท หรือดับเครื่อง, สวิตช์สลับโหมด MINI Experience แล้วก็ปุ่มการควบคุมระดับเสียงเพลง จากนั้นชุดควคุมจะไปโผล่อีกที ก็คือ บนพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น ซึ่งมีด้านหลังเป็นหน้าจอระบบ Head-up Display ฉะนั้นจากตำแหน่งการวางชุดควบคุมๆ ต่าง บอกเลยว่าเดาไม่ยาก ว่าต้องการให้ Driver มีสมาธิอยู่กับการขับขี่แน่นอน
MINI Experience คือ ฟีเจอร์ใหม่ ที่จะช่วยปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ ซึ่งสามารถเลือกได้ถึง 7 โหมด โดยมี โหมด Core Mode เป็นโหมดมาตรฐาน ตามด้วยลูกเล่นเน้นความบันเทิงอีก 4 โหมด ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการขับขี่ คือ Vivid Mode, Personal Mode และ Balance Mode ส่วนโหมดที่มีผลกับการขับขี่ ประกอบด้วย Comfort Mode, Green Mode เน้นการขับขี่ที่ประสิทธิภาพสูงสุด และ Go-Kart Mode การขับขี่ในแบบสปอร์ต ด้วยเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ ที่ปรับแต่งมาให้ ซึ่งสารภาพเลยว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่า “เสียง” ดังกล่าวมีไว้สร้าง “ความเร้าใจ” หรือ “ประหลาดใจ”
สมรรถนะของ Cooper SE พลังงานไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ประกอบด้วย แบตเตอรี่แรงดันสูง 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขับเคลื่อล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 กิโลวัตต์ หรือ 218 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูง 330 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งได้ดุเดือดไม่เบา ด้วยเวลา 6.7 วินาที สำหรับ 0 – 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง พร้อมความเร็วสูงสุดที่ทำได้ 170 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และระยะการเดินทางสูงสุดที่ทำได้ คือ 402 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ ยังอัพเกรดการชาร์จไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยในการชาร์จไฟแบบ AC รองรับได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จาก 0% – 100% ได้ในเวลา 5 ชั่วโมง 15 นาที ขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC รองรับได้สูงสุด 95 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที
อรรถรสในการขับ ต้องยอมรับว่าน่าตื่นเต้นไม่เบา โดยเฉพาะด้านอัตราเร่งของ Cooper SE ที่ตอบสนองได้รวดเร็ว ทันใจ แม้จะขับขี่ด้วย Comfort Mode หรือ Green Mode ก็ตาม ด้วยเพราะคุณสมบัติของยนตรกรรมพลังไฟฟ้า 100% ที่ไม่ต้องรอรอบ ประกอบด้วย DNA เอกลักษณ์ความสปอร์ตในความเป็น “มินิ” ทั้งความเฉียบคม ฉับไวของพวงมาลัย และอารมณ์ของช่วงล่าง ที่รวมกันส่งผลให้การขับขี่ในเมืองเร้าใจ ราวกับเป็นสวนสนุกขนาดใหญ่
พูดถึงช่วงล่าง มีข้อมูลมาว่าเป็นการปรับแต่งขึ้นใหม่ ให้เหมาะสมกับแฟลทฟอร์ม ที่ออกแบบมาสำหรับระบบขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ ทำให้มี “จุดศูนย์ถ่วงต่ำ” ช่วยเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะ และการควบคุมที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ “ฐานล้อ” ที่ยาวขึ้น และขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้มีระยะโอเวอร์แฮงต์ที่สั้น ยังช่วยสร้างความคล่องตัว และรักษาไว้ซึ่งการขับขี่แบบ Go-Kart Style
ที่น่าแปลกใจก็คือ นอกจากขับสนุกแล้ว Cooper SE ยังมีอารมณ์ความนุ่มนวลของช่วงล่างมาให้สัมผัสอีกด้วยเช่นกัน แม้จะลองเปลี่ยนฟังค์ชั่น MINI Experience มาเป็น Go-Kart Mode ก็ตาม โดยในความหมายของคำว่า “นุ่มนวล” จาก Cooper SE ก็คือเป็นไปตามมาตรฐานของ Mini ซึ่งถ้าพูดให้เห็นภาพง่ายขึ้น ก็คงต้องบอกว่า ดีกว่าเจนเนอเรชั่นที่ผ่านๆ มาในยุคเครื่องยนต์สันดาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ลองวิ่งบนถนนพื้นคอนกรีต จะรู้สึกได้เลยว่า Cooper SE มีการดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ค่อนข้างน่าประทับใจดี กับสัมผัสจากเบาะนั่งคู่หน้า ขณะที่ด้านหลังเราคงพูดได้ไม่เต็มปากเท่าที่ควรว่า “นั่งสบาย”
อีกจุดที่น่าประทับใจ ก็คือ สัมผัสจากทั้งแป้นคันเร่ง และแป้นเบรก ที่ปรับเซ็ทได้เป็นธรรมชาติ ใกล้เคียงกับอารมณ์ของรถเครื่องยนต์สันดาป ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับตัว และใช้งานได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่เคยผ่านมือ ยนตรกรรมไฟฟ้า 100% มาก่อนก็ตาม … ที่สำคัญ ค่าตัว 1,699,000 บาท คือ เงื่อนไขหลักที่จะทำให้ Cooper SE เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างมากขึ้นอย่างแน่นอน
ราคารถใหม่
All-new MINI Cooper รุ่น SE ราคา 1,699,000 บาท