รีวิว : สัมผัสความล้ำของ ADAS Level 2 ใน NETA V II พร้อมการลองขับ NETA X ครั้งแรก ที่บอกได้เลยว่า “เซอร์ไพรส์”

NETA V II

นับตั้งแต่ก้าวแรกของ NETA V ที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ฟันฝ่าอุปสรรค และกระแสวิพากย์ วิจารย์ต่างๆ มากมายมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ในที่สุด บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ก็เผยโฉมเวอร์ชั่น 2 ของ NETA V ออกมาเป็นที่เรียบร้อยในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า NETA V II แถมยังมาพร้อมความน่าสนใจอีกเพียบ

NETA V II

ประเด็นแรก คือ “การผลิต” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่งต่อไปถึงเรื่องของ “ราคา” ซึ่งเริ่มต้นเพียง 549,000 บาท ในรุ่น Lite ก่อนปิดตลาดที่รุ่นสูงสุด คือ Smart ค่าตัวเพียง 569,000 บาท ไม่เท่านั้น เพราะ NETA V II มาพร้อมกับการ “อัพเกรด” ฟังค์ชั่นต่างๆ มากมาย เพื่อให้ผู้บริโภค “เข้าถึง” ได้มากขึ้น เช่น ภายนอกที่สะดุดตาขึ้น ด้วยชุดกระจังหน้าใหม่แบบ Starlight Grile, ชุดไฟหน้าแบบ LED และชุดไฟท้ายแบบ LED ที่มากับดีไซน์ใหม่แบบ Through – Type สวยสะดุดตา มีมิติมากยิ่งขึ้น

ส่วนภายในห้องโดยสาร ต้องบอกว่าคุ้นเคยกันดี กับงานดีไซน์ ขณะที่ฟังค์ชั่นต่างๆ ก็มีให้อย่างครบครันตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเพียงพอ อาทิ หน้าจอกลาง Infotainment Screen ขนาด 14.6 นิ้ว ที่รองรับ Apple Carplay พร้อม PowerPlay Charger สำหรับชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย, กุญแจรถ Smart Key พร้อมระบบ Ride & Go ตลอดจนความอเนกประสงค์ของพื้นที่บรรทุสัมภาระขนาด 335 ลิตร ที่สามารถปรับพับ เพื่อเพิ่มเป็น 588 ลิตรได้อย่างสบายๆ

ขุมพลังของ NETA V II เป็นอีกหนึ่งจุดที่คุ้นเคยเช่นกัน กับพลังไฟฟ้า 100% จากแบตเตอรี่ Lithium – ion ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ 95 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ทำระยะทางขับขี่ได้ที่ 382 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังมากับฟังค์ชั่น V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าจากตัวรถ ออกมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้อีกด้วย

NETA V II

ไม่เท่านั้น เพราะ NETA V II ยังมากับอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ จนทำให้เราต้องเดินทางมาทดลองกัน ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) จังหวัดฉะเชิงเทรา กันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นคือ “ระบบความปลอดภัย” ที่ในรุ่นย่อยสูงสุด Smart ที่เพิ่มเงินจากรุ่นเริ่มต้นราว 20,000 บาท จะได้รับการติดตั้ง ADAS Level 2 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเลยทีเดียว ประกอบด้วย

ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ HBA (High Beam Assist), ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ที่มาพร้อมกับระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ระบบช่วยเตือน เมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ FSA (Front Vehicle Start Alert), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ ICA (Integrated Cruise Assist) ท้ายสุดกับระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ELKS (Emergency Lane Keeping System)

NETA V II

สำหรับในส่วนของทดสอบ เราจะเริ่มต้นด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ซึ่งความล้ำหน้าของ NETA V II ก็คือ นอกจากจะทำการชะลอความเร็วตามรถคันหน้า และรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพในการทำงานจะเหนือชั้นขึ้นอีกด้วย เพราะแม้รถคันด้านหน้าจะขับคร่อมเลน แต่ดูเหมือนว่าระบบก็ยังสามารถตรวจจับรถคันหน้า และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นหมายถึง ตัวเซ็นเซอร์ค่อนข้างมีระยะองศาในการตรวจจับที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ของ NETA V-II ยังทำงานได้ถึงระดับ Stop & Go เลยทีเดียว แต่ในระยะเวลาราวๆ ไม่เกิน 5 วินาที ซึ่งหากเกินกว่านั้นตัวระบบจะหยุดการทำงานชั่วคราว และหากต้องการให้ระบบกลับมาทำงานอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการก็ง่ายๆ แค่แตะคันเร่งออกตัวเท่านั้น ตัวระบบจะก็กลับมาทำงานอีกครั้งโดยอัตโนมัติ

NETA V II

รวมไปถึงยังมี ระบบช่วยเตือน เมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ FSA (Front Vehicle Start Alert) เข้ามาเสริมทัพ เช่น ในสถานการณ์ที่รถติดไฟแดงนาน จนทำให้ผู้ขับขี่อาจจะเสียสมาธิ ซึ่งในระหว่างนั้นรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนที่ ระบบนี้ก็จะเข้ามาช่วยทำหน้าที่แจ้งเตือน เพื่อให้ผู้ขับขี่กลับมามีสมาธิในการขับรถเช่นกัน

ท้ายสุดที่ชอบมากๆ ก็คือ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ELKS (Emergency Lane Keeping System) ระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วเกิน 60 กม./ชม. โดยเมื่อระบบตรวจจับ และพบเจอว่ารถกำลังจะขับขี่ออกนอกเลน ระบบจะทำการดึงรถกลับเข้ามาอยู่ในเลนอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นอีกระดับในขณะขับขี่ เพราะในทางตรงๆ ต่อให้ไม่จับพวงมาลัย แม้รถจะเอียงซ้าย เอียงขวา แต่เมื่อรักษาความเร็วไว้ที่เกิน 60 กม./ชม. เล็กน้อย ระบบก็จะยังคงจัดระเบียบให้ตัวรถคงอยู่ในเลนเช่นเดิม

NETA V II

อีกความประทับใจของ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ในอีกหนึ่งสถานการณ์ ก็คือ กรณีมีรถแทรกแซงเข้าในเลนระหว่างรถเรา และรถคันหน้า หรือ รถคันหน้า หักหลบออกไปจากด้านหน้าเราแบบกะทันหัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ก็ยังคงสามารถทำงานด้วยการตรวจจับรถทั้ง “ระยะ” และ “ความเร็ว” ของรถคันหน้าได้ดีเยี่ยม แล้วก็แม่นยำเลยทีเดียว

สรุปภาพรวม NETA V II ในรุ่น Smart ในเรื่องการขับขี่สัมผัสได้ถึงความดีงามขึ้น จากในส่วนของระบบช่วงล่าง แต่ที่สัมผัสได้ชัดเจนถึงความดีงาม ต้องยกให้เรื่องของระบบความปลอดภัยที่ติดตั้ง ADAS Level 2 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งจากการที่ได้ลองสัมผัสการทำงานของระบบต่างๆ ต้องบอกเลยว่าช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มาก ถือได้ว่าส่วนต่างราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มจากรุ่นย่อย Lite เวอร์ชั่นเริ่มต้นอีก 20,000 บาท จะเป็นอะไรที่คุ้มค่าแน่นอน

NETA V II

ต่อกันที่การลองขับ NETA X ด้วยรถ Pre Production เพราะฉะนั้นเราเลยโฟกัสไปที่ฟิลลิ่งการขับเป็นหลัก จากความน่าสนใจของตัวเลขสมรรถนะ คือ 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 210 นิวตันเมตร มีโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ Eco, Normal และ Sport ตลอดจนทำความเร็วจาก 0-100 ได้ภายใน 9.5 วินาที เหนืออื่นใด คือ ระบบความปลอดภัย ที่ว่ากันว่าติดตั้ง ADAS ระดับ Level 2.5 มาให้เลยทีเดียว

ส่วนการทดสอบ เริ่มต้นด้วยการลองระบบ HDC (Hill Descent Control) ช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน บนพื้นผิวที่มีสภาพลื่น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ NETA X  สามารถออกตัวไปได้อย่างสบายๆ ขณะที่การลงเนินชัน ระบบ HDC (Hill Descent Control) ก็ทำงานได้อย่างนุ่มนวล แถมสามารถ “ถอยหลัง” กลับขึ้นเนินอย่างสบายๆ ได้อีกด้วยเช่นกัน

NETA V II

ตามมาด้วยการขับขี่ในรูปแบบ “Slalom” และ “Lane Change” ด้วยความเร็วราวๆ 50 – 60 กม./ชม. สัมผัสได้ชัดถึงความแม่นยำของพวงมาลัย รวมถึงเสถียรภาพของระบบช่วงล่าง ต่อเนื่องไปจนถึงโค้งกว้างๆ ยาวๆ กับความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาระดับ 70 – 80 กม./ชม. ก็ยังทำให้ความประทับใจได้ดี แต่ที่ดีงามเลย คือ ในเรื่องของอัตราเร่ง ซึ่งตัวเลขอาจดูไม่ดุเดือดเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ลองกดคันเร่ง จะสัมผัสได้ว่ามีความต่อเนื่อง และแรงบิดหนักๆ ออกมาให้สัมผัสในสไตล์สุภาพ ไม่ได้กระชากกระชั้นอะไรมากมาย ซึ่งในมุมมองของเรา คงต้องบอกว่าตอบโจทย์การขับขี่ได้อย่างพอเพียง

NETA V II

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ตั้งแต่ ออพชั่น, ราคา หรืออะไรต่างๆ ที่หลายคนสนใจ แนะนำว่าอดใจรออีกไม่นาน เพราะ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เค้าลั่นวาจาไว้แล้วว่า เปิดตัวกลางเดือน กรกฏาคม นี้แน่นอน !!!

[bsa_pro_ad_space id=19]

[bsa_pro_ad_space id=15]
[bsa_pro_ad_space id=16]