ทาทา มอเตอร์ส ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาด มุ่งมั่นเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรถเพื่อการพาณิชย์ทุกประเภท
บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งผลการดำเนินธุรกิจสำหรับปีงบประมาณที่ผ่านมา หรือในช่วงตั้งแต่ 1 เมษายน 2559 ถึง 31 มีนาคม 2560 สามารถสร้างยอดจำหน่ายได้เป็นที่น่าพอใจ ทั้งยอดจำหน่ายในประเทศ และส่งออก
รถกระบะ Tata Xenon ประสบความสำเร็จสูงสุด จากยอดจำหน่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้น 38%
โดยในปีงบประมาณที่แล้ว มียอดจำหน่ายรวมทุกรุ่นมากขึ้นกว่าในปีงบประมาณก่อนหน้า 19% ถึงแม้ว่าสภาวะตลาดโดยรวมของประเทศจะค่อนข้างทรงตัวก็ตาม โดยรถกระบะ ทาทา ซีนอน เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุด จากยอดจำหน่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้น 38% และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 17% รวมยอดจำหน่าย ทาทา ซีนอน ทั้งหมด 1,398 คัน ซึ่งเป็นผลจากการเปิดตัวรถกระบะ Tata Xenon 150N-Series หลากหลายรุ่น คือ กระบะ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ 150NX-PLORE 4WD กระบะ 4 ประตู ขับเคลื่อน 2 ล้อ 150NX-TREME และ 150NX-PERT กระบะตอนเดียวเพื่อการบรรทุก และกระบะตอนเดียวเพลาเฮฟวี่ดิวตี้ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
ในส่วนของรถกระบะรุ่นกะทัดรัดอย่าง Tata Super Ace Mint มียอดจำหน่ายลดลง โดยมียอดจำหน่ายรวม 240 คัน น้อยกว่าในปีงบประมาณที่แล้ว 25% ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบรถจากอินเดียมาที่บริษัทฯ มีจำนวนจำกัดในช่วง 3 เดือนของปีงบประมาณ อย่างไรก็ดี เมื่อสินค้ามาถึงพร้อมจำหน่าย บริษัทฯ ได้กระตุ้นยอดขาย โดยปรับราคา Tata Super Ace Mint อยู่ที่ 365,000 บาท และ เพิ่มรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ ด้วย ทำให้ ซูเปอร์เอซ มินท์ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเห็นได้จากยอดขายที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ
สำหรับกลุ่มรถบรรทุกขนาดกลาง ขนาดใหญ่ บริษัทฯ ได้ทำการเปิดตัวรถบรรทุกขนาดกลาง 6 ล้อ Tata Ultra โดยได้รับการตอบรับทั้งในเขตกรุงเทพปริมณฑล และ พื้นที่ต่างจังหวัดเป็นอย่างดี
เป้าหมายในปีงบประมาณ 2560 – 2561 (1 เมษายน 2560 ถึง 31 มีนาคม 2561)
บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตที่ 83% แม้ว่าตลาดโดยรวมในประเทศจะเติบโตเพียง 5-6% ก็ตาม เนื่องจากทางบริษัทฯ ยังมีฐานยอดการจำหน่ายที่ไม่สูงนัก จึงทำให้มีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก
เป้าหมายการจำหน่ายแต่ละรุ่น
รถกระบะ Tata Xenon ยอดจำหน่ายในประเทศ และส่งออกรวมกันที่ 2,100 คัน แบ่งเป็น 1,800 คัน ในประเทศ และส่งออกจำนวน 300 คัน ส่วน ทาทา ซูเปอร์เอซ มินท์ วางเป้าหมายการจำหน่ายที่ 500 คัน หรือมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% สำหรับกลุ่มรถประเภทนี้ กลุ่มรถบรรทุกขนาดกลาง ทาทา อัลทรา จำนวน 300 คัน และ กลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทาทา แดวู และ ทาทา ไพรม่า จำนวน 100 คัน
เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวเราจะมีการประกอบรถกระบะ Tata Xenon รุ่นใหม่ ที่จะใช้แชสซีส์แบบไฮโดรฟอร์ม เกียร์อัตโนมัติ และพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มขึ้น และยังมีการประกอบรถ Tata Super Ace Mint ในประเทศไทย ประมาณเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจว่ารถรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่น ที่ประกอบในประเทศไทยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเรา ทั้งในเรื่องของคุณลักษณะการใช้งาน คุณภาพ และ ราคาที่คุ้มค่า
นอกจากรถกระบะที่จะประกอบในประเทศไทยทั้ง 2 รุ่นนี้แล้ว รถบรรทุก 6 ล้อ Tata Ultra จะมีการเติมรุ่นย่อยเข้ามาอีก 3 รุ่นให้ครบภายในเดือนกันยายนปีนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าสามารถนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น และในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ บริษัทฯ จะเปิดตัวรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถหัวลาก ในตระกูล Tata Prima แบบ 10 ล้อ และ 12 ล้อ มีกำลัง 280 แรงม้า และ 380 แรงม้า ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่มีกำลังเครื่องยนต์ที่เหมาะสมตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า
ในส่วนของแผนการย้ายสถานที่ประกอบรถยนต์ทาทา จากที่เดิมไปยังโรงงานของ บริษัท บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด ในเขตมีนบุรี ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยบริษัทฯ กำลังขนย้ายเครื่องจักรเพื่อไปติดตั้ง ณ โรงงานแห่งใหม่ และใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุง ยกระดับ คุณภาพ และความสามารถในการประกอบรถยนต์ทาทา ซีนอน รุ่นที่จะมีการปรับปรุงใหม่ด้วย (Major Change)
การลงทุนสำหรับไลน์การประกอบรถ ทาทา ซูเปอร์เอซ มินท์ ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงประมาณเดือนกันยายน 2560 ก็จะเป็นไลน์การประกอบที่สามารถประกอบได้ทั้งแบบ พวงมาลัยขวา (RHD) และ พวงมาลัยซ้าย (LHD)
นายซานเจย์ มิชรา กล่าวว่า “แม้ว่าผลประกอบการในปีงบประมาณ 2559 ที่ผ่านมา จะต่ำกว่าเป้าหมายที่เราวางไว้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามจากยอดจำหน่ายที่สูงขึ้นกว่าปีงบประมาณ 2558 ถึง 19% เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ เราได้ปรับปรุงแก้ไขให้ทุกอย่างดีขึ้นในทุกๆ ด้าน และเราก็พร้อมที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการหลังการขายอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า โดยเป้าหมายของเราคือ การเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายรถเพื่อการพาณิชย์แบบครบวงจร (Full Range Trucking Solution Provider) และเราจะเป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่มีกลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ครบในทุกเซกเมนต์ ทำให้เรามั่นใจว่า ในปีงบประมาณใหม่นี้ ด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ จะทำให้บริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้นในตลาดประเทศไทย และจะประสบความสำเร็จในตลาดมากยิ่งขึ้นในปีนี้ และในอนาคต”