The new BMW 320d Sport Line

The new BMW 320d Sport Line

การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเครื่องยนต์ดีเซลจากค่าย BMW จนทำให้นักวิจารณ์ทั่วโลกต่างยอมรับว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ดีที่สุดในโลก และตอนนี้วงการรถหรูหลายค่ายต่างหันหน้ามาคบกับขุมพลังดีเซลกันเกือบทั้งหมด คงเพราะเรื่องสมรรถนะของเครื่องยนต์ไม่ได้ต่างจากเบนซิน และยังได้ความประหยัดอย่างสูงสุด ดังนั้น iAMCAR ฉบับนี้ จึงอยากแนะนำรถ Sedan ตัวเล็กรหัสท้าย “d” คันใหม่ล่าสุดของค่าย “ใบพัดสีฟ้า” ในสไตล์สปอร์ตมาให้สัมผัสสมรรถนะกันครับ

 

ซีดานสายพันธุ์สปอร์ต
 

รถที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้เป็น The new BMW Series 3 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของซีรี่ย์ 3 ออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคครบทุกบุคคลิกทั้ง Sport Line, Modern Line และ Luxury Line ไปดูกันครับว่าด้วยคอนเซ็ปต์ของตัวรถจะตอบโจทย์ได้จริงหรือไม่
 

แน่นอนครับ…สำหรับเจ้าซีรี่ย์ 3 ใหม่ คันที่ผมนำมาทดสอบนั้นเป็น The new BMW 320d Sport Line การออกแบบเน้นการโฉบเฉี่ยวด้วยรูปลักษณ์ทรงสปอร์ตอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่พิเศษกว่ารุ่นเดิม คือ เพิ่มมิติความยาว ความกว้างมากขึ้น และฐานล้อที่ยาวขึ้น ในมิติตัวถังความยาว 4,624 มม. (+93 มม. จากรุ่นก่อนหน้า), ฐานล้อ 2,810 มม. (+50 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) พร้อมแทร็คที่กว้างขึ้น +37 มม. ในคู่หน้า และ + 47 มม. ในคู่หลัง ในขณะที่ความสูงอยู่ที่ 1,429 มม. (+8 มม. จากรุ่นก่อนหน้า) พร้อมใส่ลายเส้นอันคมกริบลงบนตัวถังแนวสปอร์ต ฝาประโปรงหน้ายาวขึ้นเพื่อลดค่าแรงเสียดทาน ไฟหน้าดีไซน์ต่อเนื่องกับช่องดักลมกระจังหน้าสีดำเงาจำนวน 8 ซี่ พร้อมเติมความหรูด้วยขอบโครเมียม ที่มีไตคู่วางไว้ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ กันชนหน้าสีดำพร้อมคานอลูมิเนียมสุดหรูและยังเพิ่มช่องไฟตัดหมอกที่ชายล่าง ส่วนด้านข้างขอบกระจกไล่แนวโค้งรับกับฝากระโปรงหลังอย่างกลมกลืน ด้านท้ายเน้นหลักอากาศพลศาสตร์สร้างแรงกดด้วยสปอยเลอร์ในตัวที่ฝากระโปรงท้าย ที่สำคัญยังเน้นความ Sexy ของตัวรถด้วยไฟท้ายทับทิมสีแดงสด เรื่องของความงดงามในการออกแบบของรถจากค่ายนี้ ผมคงไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์มากนัก เพราะถ้าคุณเป็นคนชอบรถหรูที่แฝงความเป็นสปอร์ตในทุกอนูของการออกแบบก็ต้อง BMW นี่แหละครับ..ใช่เลย

 

หรู ล้ำ แนวสปอร์ต
 

การออกแบบภายใน ของรุ่น Sport Line จะสะท้อนบุคลิกความเป็นรถสปอร์ตให้ออกมาอย่างชัดเจนมากที่สุด แต่ความหรูหราและสะดวกสบายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน จึงเลือกใช้เบาะที่นั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์เพื่อความสบายและผ่อนคลายทุกการเดินทาง พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม เปี่ยมด้วยความปราณีต และใช้โทนสีดำเป็นตัวคุมโทนในห้องโดยสาร และตัดด้วยเส้นสีแดง เพื่อสร้างความรู้สึกสปอร์ตแบบตระกูลรถแข่งที่แฝงความสุขุมไว้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีจอคุณภาพสูงขนาด 8.8 นิ้ว ให้มุมมองแบบสมาร์ทโฟนสุดคมชัด แสดงผลแผนที่แบบ 3 มิติ รวมถึงภาพถ่ายจากดาวเทียม และ เทคโนโลยี BMW Connected Drive ยังช่วยให้การเชื่อมต่อบนโลกอินเตอร์เน็ทได้อย่างง่ายดาย ด้วยฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสัญญาณมือถือไอโฟนเข้ากับระบบข้อมูลของรถยนต์ เพื่อการเชื่อมต่อโปรแกรมต่างๆ ได้จากหน้าจอออนบอร์ดมอนิเตอร์ในรถ เช่น โปรแกรมเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และปฏิทินนัดหมายพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อที่แสดงผลข้อมูลบนหน้าจอรถยนต์ได้อย่างสะดวก ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คได้ โดยที่ฟังก์ชั่นการอ่านคำอัตโนมัติ ก็จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกฟังข้อความที่ได้รับ โดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนนมาเพื่ออ่านข้อความนั้นๆ
 

แต่ความโดดเด่นในรุ่นใหม่ไม่ได้มี เพียงแค่ความสวยงามและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครันเท่านั้น ยังมีฟังก์ชั่น Auto Start Stop ระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ จะทำการดับเครื่องยนต์เมื่อรถจอดอยู่กับที่ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ความพิเศษ คือ ระบบปรับอากาศยังเย็นสบายเช่นเดิมครับ

 

ขับสปอร์ต เติมน้ำมันน้อยกว่ากระบะ
 

BMW 320d มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2.0 ลิตร ที่สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 184 แรงม้าที่ 4,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,750 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมปุ่มควบคุมการขับขี่ Driving Experience Control ที่เพิ่มโหมด ECO PRO มาให้ โดยปรับจังหวะการทำงานเครื่องยนต์และการเปลี่ยนเกียร์ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการบริหารพลังงานภายในรถยนต์ ให้ประหยัดน้ำมันในระดับสูงสุด แต่ถ้าคุณชอบความสปอร์ตอยากเปลี่ยนประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจเพียงกดแค่ปลายนิ้ว เพียงคุณเลือกโหมดขับขี่แบบ Sport Mode ระบบสั่งการจะถูกปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองการขับขี่สูงสุด โดยเปลี่ยนสไตล์การทำงานของเครื่องยนต์ ให้แรงบิดสูงที่รอบต่ำ อัตราเร่งสูงขึ้น พร้อมระบบกันสะเทือนที่
ทำงานแบบสปอร์ต เพิ่มความมั่นคงและการยึดเกาะถนน แต่ถ้าเป็น Sport Mode + จะตัด Traction Control System ออก เพื่อให้ใกล้เคียงอารมณ์ความเป็นสปอร์ตสูงสุด
 

จะให้สัมผัสกี่ครั้งในเรื่องอัตราเร่งของ BMW 320d ก็ต้องบอกว่าพอใจ เพราะด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.6 วินาที แถมอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 22.2 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 118 กรัมต่อกิโลเมตร (ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU) กับความเร็วปลายที่ทะลุ 200 กม./ชม. แบบไม่ยากเย็น แต่ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำให้อารมณ์ก็ขับเปลี่ยนไปบ้าง เพราะถ้าใช้งานปกติเราจะใช้ ECO PRO Mode เพื่อความประหยัดสูงสุด จังหวะการเปลี่ยนเกียร์จะนิ่มนวลกว่าตัวเก่าแบบรู้สึกได้ ความไหลลื่นต่อเนื่องของการเปลี่ยนเกียร์ทำได้ดี ที่สำคัญเมื่อเป็น 8 สปีดจะมีอัตราทดเกียร์ที่ประหยัดมากขึ้น แต่เมื่อใช้ Sport Mode เจ้าเกียร์ตัวเดียวกันนี้ จะปรับอารมณ์ให้กระชากแบบเร้าใจ หรือ คุณจะเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองก็ยังได้ครับ ถ้าถามผมว่าพอใจหรือไม่กับเครื่องบล็อคนี้ ต้องตอบว่า “ขับสปอร์ต เติมน้ำมันน้อยกว่ากระบะ” ยังไม่พออีกหรือครับ แต่รถจะไม่มีข้อเสียงเลยคงเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับว่าเวลายืนนอกรถเสียงเครื่องยนต์ยังดังอยู่เล็กน้อย แต่ในห้องโดยสารการเก็บเสียงช่วยได้เยอะ เงียบในระดับที่น่าพอใจ

 

 

 

 

เทคโนโลยีอันเลื่องชื่อ
 

ระบบช่วงล่างมาด้วยเทคโนโลยีแชสซีที่เลื่องชื่อ ระบบกันสะเทือนหน้า แบบจุดยึดเบ้าสปริงกับปีกนกอิสระ และระบบกันสะเทือนหลัง รองรับแรงบิดจากเครื่องยนต์วางตามยาว ของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง และให้ความสมดุลในการกระจายน้ำหนักลงล้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องนี้เลยครับ ที่เป็นความโดดเด่นสูงสุดของ BMW แต่ในรุ่น Sport Line เพิ่มความเร้าใจด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว แบบ 5 แฉกซี่คู่ให้ด้วย ดังนั้นคงไม่ต้องบอกว่าช่วงล่างในรุ่นนี้ไว้วางใจได้ขนาดไหน

 

ในราคา 2.99 ล้านบาท คุ้มหรือไม่สำหรับคุณ ส่วนตัวผมคุ้มแน่ๆ แต่ปัญหา คือ “เอื่อมยังไม่ถึง” ครับ สำหรับเศรษฐีกระเป๋าหนัก สามารถพบกับ The new BMW 320d Sport Line ได้แล้ววันนี้ทุกโชว์รูม BMW ทั่วประเทศ
 

{gallery}/article/2012/iamtest/new-bmw-320d{/gallery}


ตารางราคารถยนต์ล่าสุด

AUDI | Aston Martin | BMW | Chevrolet | CITROEN |  DFSKFerrari | Honda (ฮอนด้า) |