VinFast (วินฟาสต์) คือ อนาคตของ Vingroup (วินกรุ๊ป) กลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
ด้วยการให้ความสำคัญกับความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าผลกำไรในระยะสั้น ฝ่าม เญิ้ต เวือง นักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในเวียดนามด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังพยายามพิสูจน์ให้เห็นถึงความทุ่มเทในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน VinFast (วินฟาสต์) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำพาแบรนด์รถยนต์นี้สู่อนาคตในระยะยาว และรับมือกับความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในการสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
Vingroup (วินกรุ๊ป) บริษัทชั้นนำของเวียดนามที่ติดอันดับ 45 ใน Fortune Southeast Asia 500 กำลังมุ่งสู่การเป็นกลุ่มบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาค ด้วยธุรกิจที่ครอบคลุม ตั้งแต่เทคโนโลยี การค้าและบริการ ตลอดจนธุรกิจเพื่อสังคม อย่างไรก็ตาม ประธานของ Vingroup (วินกรุ๊ป) ย้ำหนักแน่นว่า อนาคตของบริษัทอยู่ที่ วินฟาสต์ ซึ่งแม้จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่กำลังสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุน และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของวินกรุ๊ป
โปรเจ็คต์แห่งการทุ่มเทแรงใจ
ในการสัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อเร็วๆ นี้ “ฝ่าม เญิ้ต เวือง” ซีอีโอของ วินฟาสต์ และประธานของ วินกรุ๊ป ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่มีต่อวิสัยทัศน์ระยะยาวของ วินฟาสต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญอยู่ได้
“เวือง” ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพล ครองความยิ่งใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ด้วยกลุ่มบริษัท Vingroup (วินกรุ๊ป) ซึ่งมีเครือข่ายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า และสถาบันการศึกษา ที่มีบทบาทต่อชีวิตของชาวเวียดนามจำนวนมาก เพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่นในระยะยาวนี้ เวือง ให้ความสำคัญกับราคาหุ้นที่สะท้อนถึงคุณค่า และอนาคตที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งเห็นได้ชัดจากการตัดสินใจยอมทิ้งผลกำไรในระยะสั้น โดยการระงับการเสนอขายหุ้นเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าขนาดของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Free Float) ยังมีความสำคัญไม่มาก สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ในระยะยาว
“ราคาหุ้นในปัจจุบัน และ Free Float ไม่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนรายใหญ่ และระยะยาว และเราไม่รีบที่จะนำหุ้นเข้าสู่ตลาดเพิ่มเติม” เวืองกล่าว โดยแรงผลักดันเบื้องหลังการพัฒนาของ VinFast (วินฟาสต์) คือ ความทะเยอทะยานของ เวือง ที่จะยกระดับภาคการผลิตของเวียดนามให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในการประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตรองเท้าให้กับบริษัทต่างชาติ
ภายในเวลาเพียงหกปี วินฟาสต์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์ชั้นนำของเวียดนาม และกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดโลก ซึ่งมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเพียงไม่กี่แห่งทั่วโลก สามารถทำได้ในเวลาอันสั้นนี้ และได้สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม และมีความหลากหลาย ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และรถโดยสาร รวมถึงเครือข่ายสถานีชาร์จ และโครงสร้างพื้นฐานการบริการลูกค้าที่แข็งแกร่ง
จุดแข็งหลักของ วินฟาสต์ อยู่ที่ความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อ เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งแรงบันดาลใจของ Vingroup (วินกรุ๊ป) ในการสร้างแบรนด์อุตสาหกรรมไฮเทคของเวียดนามที่มีอิทธิพลในระดับโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเวียดนามบนเวทีโลก แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ความทันสมัย และความเจริญรุ่งเรืองที่เพิ่มขึ้น ความมุ่งมั่นในการสร้างอิมแพคต่อสังคมนี้ทำให้ เวือง ยังคงความสุขุมได้ ท่ามกลางความท้าทายปัจจุบันที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญอยู่
ความสงบสยบทุกข้อกังขา
เวือง แสดงความมั่นใจในศักยภาพของ วินฟาสต์ ที่จะก้าวสู่ความสำเร็จได้ แม้ว่าจะขับเคลื่อนธุรกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อม แต่เขายังคงเชื่อมั่นความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางการเงิน และเทคโนโลยีของ วินฟาสต์ และจะบรรลุจุดคุ้มทุนในเร็วๆ นี้ และสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองได้ในที่สุด ภาวะจิตใจที่สงบไร้กังวัลนี้ช่วยให้เขาเปิดรับมุมมองสู่วันข้างหน้าในระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคในระยะสั้น ด้วยความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ต่ออนาคตอันสดใสของยานยนต์ไฟฟ้า
ในไตรมาสแรกของปี 2024 วินฟาสต์ ยังคงเดินหน้าตามแผนสร้างการเติบโตทั่วโลก โดยเปิดตัวแบรนด์ในประเทศไทย และอินโดนีเซีย รวมถึงรุกสู่ตลาดตะวันออกกลาง และได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตในอินเดีย และขยายเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วโลก ขณะที่ยอดขายในเวียดนามยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ส่วนใหญ่ในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ วินฟาสต์ ยังมีการเติบโตที่น่าพอใจในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยมีตัวแทนจำหน่ายรายใหม่หลายราย และมีรายงานตัวเลขยอดขายที่ดี
“ผมไม่เคยกังวลเรื่องยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า เพราะยานยนต์ไฟฟ้าจะต้องเติบโตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน “เวือง กล่าว พร้อมทั้งกล่าวถึงแผนของ วินฟาสต์ ที่จะเปิดโรงงานในอินเดียช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึงหกเดือน ขณะที่การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย ก็มีกำหนดจะเริ่มขึ้นภายในสองเดือนข้างหน้า ด้วยการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจในขณะที่คู่แข่งกำลังลังเล VinFast (วินฟาสต์) จึงมีโอกาสสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันได้อย่างชัดเจนสำหรับการเติบโตในอนาคต